คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 506/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีเรียกค่าสินไหมทดแทนเพราะทำให้เขาถึงตายตาม ป.พ.พ.มาตรา 443 ซึ่งได้แก่ค่าปลงศพ และค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่น ๆ และค่าใช้จ่ายตาม ป.พ.พ. มาตรา 444 ในกรณีทำให้ผู้อื่นเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยนั้น แม้จะได้ความว่าหน่วยราชการต้นสังกัดที่ผู้ตายทำงานอยู่ได้ทดรองจ่ายค่าปลงศพและค่ารักษาพยาบาลให้แก่ผู้มีสิทธิรับไปแล้ว ก็หาทำให้ผู้กระทำละเมิดต่อผู้ตายพ้นความรับผิดไปไม่ โจทก์ได้รับบาดแผลฉีกขาดที่แก้มขวา เมื่อรักษาแผลหายแล้วจะมีรอยแผลเป็นที่แก้มขวาทำให้เสียโฉม จะทำให้หายได้ก็โดยทำศัลยกรรมตกแต่ง โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้จากจำเลยได้ แม้จะยังไม่ได้ให้แพทย์ทำศัลยกรรมตกแต่งก็ตาม เด็กชาย ฤ. เป็นบุตรผู้ตายอันเกิดจากโจทก์ในขณะที่ผู้ตายและโจทก์ยังไม่ได้สมรสกัน เมื่อต่อมาผู้ตายและโจทก์ได้สมรสกันแล้วจึงต้องถือว่าเด็กชาย ฤ. เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1547.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถโดยสารปรับอากาศในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3 โดยประมาท ชนรถยนต์ที่ผู้ตายขับแล่นสวนมา เป็นเหตุให้ผู้ตายถีง แก่ความตาย และโจทก์ที่ 1 บาดเจ็บสาหัสถึงเสียโฉม ขอให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายรวม 802,585 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ที่ 1 มิใช่ภรรยาของผู้ตาย และเด็กชาย ฤ. มิใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายมูลเหตุดังนี้ เกิดจากความประมาทของผู้ตาย รถยนต์โดยสารปรับอากาศของจำเลยที่ 2 เสียหายและถูกกักไว้ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอกาญจนดิษฐ์ืทำให้ขาดรายได้รวมค่าเสียหาย 330,000 บาท ขอให้ยกฟ้องโจทก์และหากโจทก์ทั้งสามเป็นทายาทของผู้ตายก็ขอให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 2 เป็นเงิน 330,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 3 ให้การว่า มูลเหตุคดีนี้เกิดจากความประมาทของผู้ตาย ค่าเสียหายสูงเกินส่วน ขอให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสามให้การแก้ฟ้องแย้งจำเลยที่ 2 ว่า เหตุละเมิดเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1 ขอให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 502,585 บาท ให้โจทก์ที่ 3 จำนวน 120,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในต้นเงินดังกล่าวแต่ละจำนวนในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ ยกฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ยกฟ้องโจทก์ที่ 2 และยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า เด็กชายฤทธิรงค์ เป็นบุตรของผู้ตายอันเกิดจากโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 3 เป็นมารดาของผู้ตายและวินิจฉัยว่าแม้ว่าตามเอกสารหมาย ป.จ.2 เด็กชายฤทธิรงค์ เกิดในปี พ.ศ.2515 ผู้ตายกับโจทก์ที่ 1 เพิ่งมาจากทะเบียนสมรสกันในปีพ.ศ.2516 ตามใบสำคัญการสมรสเอกสารหมาย จ.1 ก็ตาม ก็เป็นกรณีเด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกันเมื่อต่อมาบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลังต้องถือว่าเด็กชายฤทธิรงค์ เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547 และผู้ตายเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ที่ 3 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 โจทก์ที่ 1 ในฐานะส่วนตัวและมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายฤทธิรงค์ และโจทก์ที่ 3 ในฐานะมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายจึงมีอำนาจฟ้องจำเลย
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่า เหตุที่เกิดรถชนกันเป็นเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่ฝ่ายเดียว ดังนั้น จำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างของจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เด็กชายฤทธิรงค์ โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 3 แล้ววินิจฉัยว่าปัญหาประการสุดท้ายเรื่องค่าสินไหมทดแทนสำหรับค่าปลงศพของผู้ตายค่ารักษาพยาบาลโจทก์ที่ 1 และเด็กชายฤทธิรงค์ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าค่าสินไหมทดแทนในกรณีทำให้เขาถึงตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 ซึ่งได้แก่ค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่น ๆ และค่าใช้จ่ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 444 ในกรณีทำให้ผู้อื่นเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยนั้น แม้จะได้ความว่าทางศูนย์เครื่องมือกลสุราษฎร์ธานีซึ่งเป็นต้นสังกัดที่ผู้ตายทำงานอยู่ได้ทดรองจ่ายค่าปลงศพและค่ารักษาพยาบาลให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับไปแล้วแทนโจทก์ที่ 1 และเด็กชายฤทธิรงค์ ก็หาได้เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 1ที่ 2 ไม่ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ผู้กระทำละเมิดยังคงต้องรับผิดฐานละเมิดอยู่ดี จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 1 และเด้กชายฤทธิรงค์ ในค่าเสียหายดังกล่าว สำหรับค่าทำศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าโจทก์ที่ 1 นั้น ได้ความว่า โจทก์ที่ 1 ได้รับบาดแผลฉีกขาดที่แก้มขวา เมื่อรักษาแผลหายแล้วจะมีรอยแผลเป็นที่แก้มขวาทำให้เสียโฉมจะทำให้หายได้ก็โดยทำศัลยกรรมตกแต่ง จำต้องทำศัลยกรรมตกแต่งจึงจะหายเสียโฉม ดังนั้นโจทก์ที่ 1 จึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้จากจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ แม้ว่าจะยังไม่ได้ให้แพทย์ทำศัลยกรรมตกแต่งก็ตาม
พิพากษายืน.

Share