แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อความในข้อ (1) แห่งพินัยกรรม.มีว่า ‘ถ้าข้าพเจ้าถึงแก่ความตายไปแล้วบรรดาทรัพย์สินของข้าพเจ้าที่ (มี)อยู่และที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า. ข้าพเจ้ายอมยกให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ที่ได้ระบุชื่อไว้ในพินัยกรรมนี้ให้เป็นผู้รับทรัพย์สินตามจำนวนซึ่งกำหนดไว้ดังต่อไปนี้คือ ฯลฯ’ นั้น. ประกอบกับข้อ 7 แห่งพินัยกรรมซึ่งความว่า’ที่ดินที่ข้าพเจ้ายกให้กับนายแสวง เดชแสง (จำเลย) นี้ฯลฯ’. ดังนี้ เห็นว่าหนังสือพินัยกรรมดังกล่าวระบุผู้รับทรัพย์ไว้โดยแจ้งชัดว่าคือจำเลยนั่นเอง.
เมื่อเจ้ามรดกยกทรัพย์สินตามพินัยกรรมให้แก่จำเลย. จำเลยย่อมมีสิทธิรับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรม. โจทก์คงมีแต่สิทธิอาศัยเหนือพื้นดินในพินัยกรรมดังกล่าวในข้อ 3 แห่งพินัยกรรมเท่านั้น. ไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องขอแบ่งเอากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินหรือขอแบ่งค่าเช่าอันเป็นประโยชน์เกิดจากทรัพย์นั้นๆ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นางแต๋วมารดาโจทก์จำเลยถึงแก่กรรม นางแต๋วมีบุตร 8 คน รวมทั้งโจทก์จำเลย นางแต๋วมีที่ดิน 2 แปลง คือที่ดินโฉนดที่ 4343 เลขที่ 51 โฉนดที่ 4344 เลขที่ 199 นางแต๋วทำพินัยกรรมฝ่ายเมืองมีใจความพอให้เข้าใจได้เพียงว่าจำเลยเป็นผู้จัดการมรดก ไม่ปรากฏว่ายกทรัพย์ให้ผู้ใด โจทก์ทั้งสองกับบุตรหลานเป็นทายาทมีสิทธิได้รับมรดก ต่อมาโจทก์ทราบว่าจำเลยไปแสดงตนต่อกรมการอำเภอขอรับหนังสือพินัยกรรมของนางแต๋วไป และแอบลงชื่อจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดแปลงเลขที่ 199 เสียคนเดียว ฯลฯขอให้จำเลยจัดการแบ่งที่ดินตามฟ้องออกเป็นแปลง ๆ ละ 8 ส่วน เท่า ๆกัน ให้โจทก์ทั้งสองกับเจ้าของกรรมสิทธิ์แปลงละคนละ 1 ส่วน ให้จำเลยแบ่งเงินรายได้ค่าเช่าที่ดิน ฯลฯ จำเลยให้การว่า นางแต๋วทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองยกทรัพย์มรดก คือที่ดิน 2 โฉนดให้จำเลยแต่ผู้เดียว ฯลฯ โจทก์ร่วมที่ 1, 2, 3, 4 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับโจทก์ เพื่อขอแบ่งส่วนมรดกตามสิทธิของผู้ร้องจากจำเลย ศาลชั้นต้นอนุญาตและให้เรียกผู้ร้องสอดว่า โจทก์ที่ 3, 4, 5, 6 ตามลำดับ ทนายโจทก์จำเลยแถลงรับกันว่า นางแต๋วได้ทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2499 ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดสืบพยานทั้งสองฝ่าย เห็นว่า โจทก์และผู้ร้องสอดทั้ง 4 ไม่มีสิทธิรับทรัพย์ตามพินัยกรรม พิพากษายกฟ้องและคำร้องสอดของผู้ร้องทั้ง 4 โจทก์ทั้ง 6 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 ฎีกา คดีมีประเด็นว่า หนังสือพินัยกรรมระบุผู้รับทรัพย์ไว้ชัดแจ้งหรือกำหนดลักษณะของผู้รับทรัพย์ไว้ตามกฎหมายหรือไม่ พินัยกรรมตามสำเนาท้ายฟ้องที่ว่า “ถ้าข้าพเจ้าถึงแก่ความตายไปแล้วบรรดาทรัพย์สินของข้าพเจ้าที่ (มี) อยู่และที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า ข้าพเจ้ายอมยกให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ที่ได้ระบุชื่อไว้ในพินัยกรรมนี้ให้เป็นผู้รับทรัพย์สินตามจำนวนซึ่งกำหนดไว้ดังต่อไปนี้คือ ฯลฯ” นั้นประกอบกับข้อ 3 แห่งพินัยกรรมซึ่งมีความว่า “ที่ดินที่ข้าพเจ้ายกให้กับนายแสวง เดชแสง นี้ ฯลฯ” ด้วยแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า หนังสือพินัยกรรมฉบับดังกล่าวระบุผู้รับทรัพย์ไว้โดยแจ้งชัดว่าคือจำเลยนั่นเอง เพราะข้อความในพินัยกรรมทั้ง 2 ข้อที่กล่าวแล้วนั้น ได้ความรับรองสอดคล้องกันเป็นอันดี กล่าวคือในข้อ 1 ว่า “ฯลฯ บรรดาทรัพย์สิน ฯลฯข้าพเจ้ายอมยกให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้ที่ได้ระบุชื่อไว้ในพินัยกรรมนี้ ฯลฯ” แล้วก็มีข้อความในข้อ 3 ระบุชื่อจำเลยไว้คนเดียว นอกจากนั้นหามีชื่อคนอื่นอีกไม่ โดยเฉพาะความข้อ 3 ก็กล่าวชัดแจ้งว่า”ที่ดินที่ข้าพเจ้ายกให้กับนายแสวง เดชแสง” ดังนี้แล้วโจทก์จะว่าพินัยกรรมไม่ปรากฏว่ายกทรัพย์สินให้แก่ผู้ใดกระไรได้ เมื่อเจ้ามรดกยกทรัพย์ตามพินัยกรรมให้แก่จำเลย จำเลยก็ย่อมมีสิทธิรับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรม โจทก์ทั้งสองและโจทก์ร่วมคงมีแต่สิทธิอาศัยเหนือพื้นดินในพินัยกรรมดังกล่าวข้อ 3 แห่งพินัยกรรมเท่านั้น หามีสิทธิที่จะเรียกร้องขอแบ่งเอากรรมสิทธิ์ในทรัพย์หรือขอแบ่งค่าเช่าอันเป็นประโยชน์เกิดจากทรัพย์นั้น ๆ ไม่ พิพากษายืน.