คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5041/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยนำชี้ให้เจ้าพนักงานศาลทำแผนที่พิพาทในคดีอื่น ว่าที่ดินพิพาทในคดีนี้เป็นของจำเลยและมรดกของสามีจำเลยคนละครึ่งนั้น การกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้ว

ย่อยาว

คดีทั้งสามสำนวนศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยเรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓
โจทก์ทั้งสามฟ้อง และโจทก์ที่ ๓ แก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของที่ดินคนละ ๑ แปลง เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๒๗ จำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งให้จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายหุนสามีของจำเลยซึ่งถึงแก่กรรม โดยกล่าวอ้างว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสามเป็นทรัพย์มรดกของนายหุน และในเดือนมิถุนายน ๒๕๒๗ จำเลยในฐานะส่วนตัวและฐานะผู้จัดการมรดกของนายหุนได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องบุตรของจำเลยทั้งสองคนตามคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๓๒๓/๒๕๒๗ หมายเลขแดงที่ ๙๓๘/๒๕๒๗ ของศาลชั้นต้น โดยกล่าวอ้างและนำชี้ให้เจ้าพนักงานศาลทำแผนที่พิพาทว่าที่ดินของโจทก์ทั้งสามเป็นของจำเลยและมรดกของนายหุนคนละครึ่ง ทำให้โจทก์ทั้งสามได้รับความเสียหาย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวเป็นของโจทก์ทั้งสาม
จำเลยทั้งสามสำนวนให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นของจำเลยและนายหุนสามีของจำเลย… ที่จำเลยนำเจ้าพนักงานศาลไปรังวัดเพื่อทำแผนที่พิพาทเป็นการทำไปตามสิทธิจึงไม่โต้แย้งต่อสิทธิของโจทก์ทั้งสาม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสามมีอำนาจฟ้อง และพิพากษาว่าที่ดินหมายเลข ๒ หมายเลข ๔ และหมายเลข ๕ ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.๑ เป็นของโจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ตามลำดับ
จำเลยทั้งสามสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยนั้น โจทก์ทั้งสามยืนยันว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสาม โดยโจทก์ที่ ๑ เบิกความว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๔ นายหุนได้ยืมเงินของโจทก์ที่ ๑ ไปจำนวน ๑,๓๕๐ บาท ตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.๒ โดยได้รับมอบที่ดินพิพาทหมายเลข ๒ ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.๑ และที่ดินหมายเลข ๓ ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.๑ ซึ่งมีเนื้อที่รวมกันประมาณ ๑๘ ไร่ ให้โจทก์ที่ ๑ ยึดถือไว้เป็นการประกันหนี้ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๐๖ โจทก์ที่ ๑ ได้ทวงถามให้นายหุนชำระหนี้ นายหุนไม่มีเงินชำระหนี้ จึงได้นำที่ดินหมายเลข ๒ และหมายเลข ๓ ตีใช้หนี้โจทก์ที่ ๑ ได้ครอบครองทำประโยชน์และนำสำรวจเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมา ตามแบบสำรวจเนื้อที่ดินเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.๖) เอกสารหมาย จ.๓ และ จ.๔ ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๑๖ โจทก์ที่ ๑ ได้ขายที่ดินหมายเลข ๓ ให้แก่นายแป้นซึ่งเป็นบุตรของนายหุนกับจำเลยในราคา ๑๕,๐๐๐ บาท สำหรับที่ดินหมายเลข ๒ โจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์และนำสำรวจเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมาจนทุกวันนี้ ตามแบบรายการที่ดินเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.๖) เอกสารหมาย จ.๖ แบบแสดงรายการที่ดินเพื่อชำระภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.๕) เอกสารหมาย จ.๖ และใบเสร็จรับเงินภาษีบำรุงท้องที่เอกสารหมาย จ.๗ โจทก์ที่ ๒ เบิกความว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๓ นายหุนได้ขายที่ดินพิพาทหมายเลข ๔ ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.๑ ให้แก่โจทก์ที่ ๒ ในราคา ๑,๐๐๐ บาท แต่ไม่ได้มีการทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือต่อกัน เมื่อโจทก์ที่ ๒ มอบเงินให้นายหุนแล้ว นายหุนก็ส่งมอบการครอบครองที่ดินให้โจทก์ที่ ๒ โดยชี้เขตที่ดินให้โจทก์ที่ ๒ ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินหมายเลข ๔ ตลอดมา และเป็นผู้นำสำรวจเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่และเป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมา ตามแบบสำรวจเนื้อที่ดินเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.๖) เอกสารหมาย จ.๙, จ.๑๐ แบบแสดงรายการที่ดินเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.๕) เอกสารหมาย จ.๑๑ แบบแสดงรายการที่ดินเพื่อชำระภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.๕) เอกสารหมาย จ.๑๒ ใบเสร็จรับเงินภาษีบำรุงท้องที่ เอกสารหมาย จ.๑๓ และโจทก์ที่ ๓ เบิกความว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๘ นายหุนได้ยืมเงินโจทก์ที่ ๓ ไปจำนวน ๑,๔๐๐ บาท ตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.๑๔ โดยได้มอบที่ดินพิพาทหมายเลข ๕ ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.๑ ให้โจทก์ที่ ๓ ยึดถือไว้เป็นการประกันหนี้ ต่อมาปี พ.ศ. ๒๕๐๙ โจทก์ที่ ๓ ได้ทวงถามให้นายหุนชำระหนี้ นายหุนไม่มีเงินชำระหนี้ จึงได้นำที่ดินพิพาทหมายเลข ๕ ตีใช้หนี้ โจทก์ที่ ๓ ได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทดังกล่าวและนำสำรวจเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ และเป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมาตามแบบสำรวจเนื้อที่ดินเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.๖) เอกสารหมาย จ.๑๕, จ.๑๖ นอกจากนี้โจทก์ยังมีนายแผง ทองจัตุ นายเฉลียว มณฑล ซึ่งมีที่ดินอยู่ใกล้เคียงกับที่ดินพิพาท นายพนม จันทร์ประโคน ผู้ใหญ่บ้านซึ่งที่ดินพิพาทตั้งอยู่ เบิกความสนับสนุนคำเบิกความของโจทก์ทั้งสาม นายแป้นอยู่สาโก บุตรชายของจำเลยเองก็เบิกความเป็นพยานโจทก์สนับสนุนคำเบิกความของโจทก์ทั้งสามอีกด้วยตามคำขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของนางเอื้อม มณฑล มารดานายเฉลียวยื่นคำขอนายอำเภอนางรองเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๑๙ เพื่อให้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินแปลงข้างเคียงด้านทิศตะวันตกที่ดินหมายเลข ๕ โจทก์ที่ ๓ ได้ไประวังแนวเขตในฐานะผู้มีสิทธิในที่ดินหมายเลข ๕ ตามเอกสารหมาย จ.๑๗ เห็นว่า พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกันประกอบด้วยเหตุผล ทั้งมีพยานเอกสารสนับสนุน นายแผงนายเฉลียว นายพนม ต่างเป็นพยานคนกลางไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใดนายแป้นบุตรจำเลยเองยังเบิกความสนับสนุนคำเบิกความของโจทก์พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ที่จำเลยนำสืบว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยกับนายหุนสามีทำมาหาได้ร่วมกัน นายหุนไม่เคยโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ทั้งสามนั้น พยานจำเลยคงมีแต่ตัวจำเลยนายน้อม ปักษาชาติ น้องชายจำเลย และนายสมนึก ทิวผักแว่น เบิกความลอย ๆ ไม่มีพยานเอกสารสนับสนุน เอกสารหมาย ล.๑ ถึง ล.๓ ที่จำเลยอ้างเป็นพยานก็ระบุเพียงว่าที่ดินที่นำไปจำนองและไถ่ถอนเป็นของนายหุน มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ แต่ก็ไม่ได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับทะเบียนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไว้ ที่ดินแปลงดังกล่าวอาจเป็นที่ดินมือเปล่าที่ยังไม่ได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ก็เป็นได้ เพราะถ้าหากมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์การทำนิติกรรมดังกล่าวก็ควรระบุรายละเอียดไว้ ส่วนนายอ่ำ ปักษาชาติ น้องชายจำเลยพยานจำเลยอีกคนหนึ่งกลับเบิกความว่าที่ดินพิพาทจะมีเอกสารสำคัญหรือไม่ไม่ทราบ ได้ยินว่าเคยขายไปแล้ว พยานหลักฐานของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักให้น่าเชื่อถือ พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสามมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ทั้งสาม ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสาม โจทก์ทั้งสามจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า การที่จำเลยนำชี้ให้เจ้าพนักงานศาลทำแผนที่พิพาทในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๙๓๘/๒๕๒๗ ว่าที่ดินพิพาทในคดีนี้ว่าเป็นของจำเลยและมรดกของนายหุนคนละครึ่งนั้น การกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสามแล้ว ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน.

Share