แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ที่ดินกรรมสิทธิ์รวมที่ยังมิได้มีการแบ่งแยกเป็นส่วนสัดนั้น เจ้าของรวมคนหนึ่งครอบครองที่ดินส่วนใดก็ถือว่าครอบครองแทนเจ้าของรวมคนอื่นด้วย ไม่เป็นการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 เมื่อได้มีการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวให้แก่เจ้าของรวมเป็นส่วนสัดแล้วระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์จึงเริ่มนับตั้งแต่มีการแบ่งแยกกันนั้น.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
คดีนี้ศาลชั้นต้นให้เรียกผู้ร้องว่าโจทก์ เรียกผู้คัดค้านว่าจำเลย ให้ถือคำร้องเป็นฟ้อง คำคัดค้านเป็นคำให้การ โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 1581 ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ เนื้อที่ 2 ไร่ 61 ตารางวา เป็นของนายสมไชยกันทา นายผัด ไชยกันทา นางบัวเขียว บุญยะกมล จำเลย และนายอินชุม สิทธิ เจ้าของร่วมแต่ละคนได้ครอบครองส่วนของตนเป็นส่วนสัด ต่อมานายอินชุมถึงแก่กรรม โจทก์ทั้งสองได้เข้าครอบครองในฐานะผู้รับมรดกตลอดมาทุกวันนี้ ขณะที่นายอินชุมมีชีวิตอยู่ ได้ครอบครองที่ดินส่วนของตนและส่วนของจำเลยตั้งแต่พ.ศ. 2509 โดยสงบ เปิดเผยอย่างเป็นเจ้าของมาเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้ว ที่ดินของจำเลยเนื้อที่ 104 ตารางวา จึงตกเป็นของนายอินชุมที่ดินแปลงนี้เดิมโจทก์ที่ 1 ซื้อมาจากนายปุก นางดีไชยกันทา ต่อมาโจทก์ที่ 1 และนางเป็ง สิทธิ ได้โอนที่ดินแปลงนี้ให้นายอินชุมครอบครองตลอดมาร่วม 20 ปี ตลอดเวลาที่ครอบครองมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนหลายครั้ง จำเลยก็ทราบดีและยอมรับสิทธิของโจทก์ทั้งสองในที่ดินดังกล่าว ขอให้ศาลไต่สวนและสั่งว่าที่ดิน 104 ตารางวาดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสองโดยการครอบครองปรปักษ์
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ซื้อที่ดินเฉพาะส่วนของนางถาไชยวุฒิ เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2521 จำนวน 213 ตารางวา เป็นการได้สิทธิโดยสุจริตเสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนสิทธิแล้วโจทก์ทั้งสองได้เข้ารับมรดกจากนายอินชุม สิทธิ เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2526 ก่อนหน้านี้ไม่เคยเข้าครอบครองที่พิพาท และนายอินชุม กับเจ้าของรายอื่นๆ ก็ไม่เคยแบ่งแยกการครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัด ต่อมาผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วม 3 ราย คือนายสมไชยกันทา นายผัด ไชยกันทา และนางบัวเขียว บุญยะกมล มีความประสงค์จะแบ่งแยกที่ดินจึงได้ฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้น ในที่สุดตกลงประนีประนอมยอมความกัน ศาลพิพากษาตามยอมเสร็จเด็ดขาดโจทก์ทั้งสองทราบดีแต่มิได้คัดค้าน อีกทั้งการแยกที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวโจทก์ทั้งสองได้ที่ดินเพิ่มขึ้นอีก 9 ตารางวา โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีโดยไม่สุจริต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ตามที่คู่ความนำสืบและไม่โต้แย้งกันว่า เดิมที่ดินพิพาทเนื้อที่ 104ตารางวา ตามแผนที่สังเขปหมายสีแดงท้ายฟ้อง อยู่ในโฉนดที่ 1581ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเนื้อที่ทั้งโฉนดมีทั้งหมด 2 ไร่ 61 ตารางวา ตามเอกสารหมาย จ. 1 ซึ่งมีชื่อนายปุก ไชยกันทา และนางดี ไชยวุฒิ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันปรากฏตามสารบัญแก้ทะเบียนว่า วันที่ 11 สิงหาคม 2507 นายปุกยินยอมให้นายทา สิทธิ นางเป็ง สิทธิ ถือกรรมสิทธิ์ร่วมเฉพาะส่วนของนายปุก 1 ใน 3 นายทานางเป็งจึงมีส่วนกรรมสิทธิ์ 1ใน 6 ส่วนของทั้งแปลง วันที่ 19 พฤษภาคม 2509 นายทานางเป็งให้เฉพาะส่วนของตนแก่นายอินชุม สิทธิ นายอินชุมจึงมีส่วนกรรมสิทธิ์ 1 ใน 6 ส่วนของทั้งแปลง นายปุกมีส่วนกรรมสิทธิ์ 2ใน 6 ส่วนของทั้งแปลง นางดีมีส่วนกรรมสิทธิ์ 3 ใน 6 ส่วนของทั้งแปลง วันที่ 20 เมษายน 2510 นางถา ไชยวุฒิ นางพาหรือทาไชยวุฒิ จดทะเบียนโอนรับมรดกส่วนของนางดี ส่วนของนางถานางพาหรือทาจึงมีคนละ 3/2 ส่วนใน 6 ส่วนของทั้งแปลง วันที่ 15 มกราคม 2519 นางพาหรือทาขายเฉพาะส่วนของตนแก่สิบตำรวจโทถวิล วันที่ 3 กรกฎาคม 2521 สิบตำรวจโทถวิลขายเฉพาะส่วนของตนให้แก่นางบัวเขียว บุญยะกมล นางบัวเขียวจึงมี 3/2 ส่วนใน 6ส่วนของทั้งแปลง วันที่ 6 กันยายน 2521 นางถาขายเฉพาะส่วนของตนให้แก่นางบุญยวง อูปขาว จำเลย จำเลยจึงมี 3/2 ส่วนใน 6 ส่วนของทั้งแปลง วันที่ 10 กรกฎาคม 2524 นายสม ไชยกันทา นายผัดไชยกันทา โอนรับมรดกส่วนของนายปุกคือ 2 ใน 6 ส่วนของทั้งแปลง วันที่ 27 เมษายน 2526 นายทา สิทธิ เด็กหญิงนพมาศ สิทธิโจทก์ทั้งสองจึงโอนรับมรดกเฉพาะส่วนของนายอินชุมคือ 1ใน 6 ส่วนของทั้งแปลง แต่ก็ยังมิได้มีการแบ่งแยกส่วนกันแต่อย่างใด ต่อมาวันที่ 9 มกราคม 2527 ได้มีการจดทะเบียนแบ่งแยกเป็น 4 แปลงตามคำสั่งศาลซึ่งพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยนายสม นายผัดได้ 2 งาน 84 ตารางวา นางบัวเขียวได้ 2 งาน 13 ตารางวา จำเลยได้ 2 งาน 13 ตารางวา โจทก์ทั้งสองได้ 1 งาน 51 ตารางวา โดยแบ่งแยกออกเป็นโฉนดใหม่อีก 3 โฉนด นายสม นายผัด ได้โฉนดที่ 13542 นางบัวเขียวได้โฉนดที่ 13543 จำเลยได้โฉนดที่ 13544 ส่วนโจทก์ทั้งสองคงได้โฉนดเดิม มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่านอกจากโจทก์ทั้งสองได้ที่ดินเนื้อที่ 1งาน 51 ตารางวา ตามที่แบ่งแยกกันแล้ว โจทก์ทั้งสองยังได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทจำนวน 104 ตารางวา โดยการครอบครองปรปักษ์ดังโจทก์ทั้งสองฎีกาหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า เดิมที่ดินโฉนดที่ 1581 มีชื่อนายปุก ไชยกันทา กับนางดี ไชยวุฒิ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยถือกรรมสิทธิ์รวมยังมิได้แบ่งแยกกันครอบครองเป็นสัดส่วนและได้มีการจดทะเบียนเปลี่ยนผู้ถือกรรมสิทธิ์และโอนกันมาหลายทอด แต่มิได้มีการจดทะเบียนแบ่งแยกส่วนว่าใครได้เนื้อที่ตรงส่วนใด โจทก์ที่ 1 อ้างว่าได้ซื้อที่แปลงนี้เฉพาะส่วนของนายปุกจากนายปุกเมื่อ พ.ศ. 2507 โดยให้นายปุกล้อมรั้วให้ แล้วได้ครอบครองต่อมาและได้ยกให้แก่นายอินชุม สิทธิ บุตรชายโจทก์ที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2509 นายอินชุม ได้ครอบครองตลอดมาก็ไม่ปรากฏว่านางดี ไชยวุฒิ เจ้าของร่วมอีกคนหนึ่งยินยอมให้แบ่งเช่นนั้นหรือไม่ ตามโฉนดก็เป็นการซื้อเพียง 1 ใน 3 ส่วน เฉพาะส่วนของนายปุกเท่านั้น ส่วนของนายปุกก็ยังเหลืออยู่ 2 ใน 3ส่วน หรือมีอยู่ 2 ใน 6 ส่วนของทั้งแปลง ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2521จำเลยก็ได้ซื้อที่ดินส่วนของนางถาซึ่งมี 3/2 ส่วนใน 6ส่วนของทั้งแปลง ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยถูกต้อง แต่ก็ยังมิได้แบ่งกันเป็นสัดส่วนในระหว่างเจ้าของรวม แม้นายอินชุมจะปลูกบ้านอยู่ในที่หมายเลข 1และครอบครองที่พิพาทด้วย ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการครอบครองอย่างเป็นเจ้าของอันจะเป็นการครอบครองอย่างปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 เพราะเป็นการครอบครองในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมคนหนึ่ง ยังไม่ได้มีการตกลงแบ่งแยกเป็นส่วนสัดกันระหว่างเจ้าของรวมแต่อย่างใด ถือว่าครอบครองแทนเจ้าของรวมคนอื่นด้วย ต่อมา พ.ศ. 2519 นายอินชุมตาย โจทก์ที่ 1 ได้ให้นายหลวง สิทธิ ดูแลแทน จนต่อมา พ.ศ. 2526 โจทก์ทั้งสองจึงได้จดทะเบียนโอนรับมรดกส่วนของนายอินชุม แม้โจทก์ทั้งสองจะได้ครอบครองในส่วนที่พิพาทด้วยก็ถือไม่ได้ว่าได้ครอบครองปรปักษ์ ต่อมาวันที่ 9 มกราคม 2527 จึงได้มีการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินทั้งแปลงเป็นส่วนสัดจำนวน 4 แปลงดังกล่าวมาแล้ว โดยที่พิพาทอยู่ในที่ดินส่วน 2 งาน 13 ตารางวาในโฉนดที่ 13544 ของจำเลย หากโจทก์ทั้งสองเจตนาครอบครองที่พิพาทอย่างปรปักษ์จริงก็ต้องเริ่มนับระยะเวลาที่ได้ครอบครองปรปักษ์ตั้งแต่ได้มีการแบ่งแยกกันเป็นสัดส่วน คือนับตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม 2527 เป็นต้นมา ซึ่งนับมาถึงวันที่โจทก์ทั้งสองยื่นฟ้องคดีนี้คือวันที่ 23 มีนาคม 2527 ยังไม่ถึง 10 ปี โจทก์ทั้งสองจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์…’
พิพากษายืน.