แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำว่า “ครอบครอง” ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 มิได้บัญญัติให้มีความหมายเป็นพิเศษ ต้องถือว่ามีเจตนายึดถือเพื่อตนตามหลักกฎหมายทั่วไป การที่จำเลยรับเลี้ยงดูหมีควายหรือหมีดำของกลางซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองไว้ชั่วคราวเพื่อรอให้สถานีเพาะเลี้ยสัตว์ป่ามารับไปในภายหลังนั้น จำเลยไม่มีเจตนายึดถือเพื่อตน จึงหาใช่เป็นการมีไว้ในครอบครองอันเป็นความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้างมาในคำฟ้องไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๔ , ๕ , ๖ , ๑๙ , ๔๗ ริบของกลางให้กรมป่าไม้ และนับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๕๘๘/๒๕๔๑ ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๙ วรรคหนึ่ง , ๔๗ จำคุก ๑ ปี ปรับ ๑๕,๐๐๐ บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๘ เดือน ปรับ ๑๐,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ และ ๓๐ ริบของกลางให้กรมป่าไม้ ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๕๘๘/๒๕๔๐ (ที่ถูก ๕๘๘/๒๕๔๑) ของศาลชั้นต้น เนื่องจากคดีนี้ศาลพิพากษาโดยให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้ จึงไม่อาจนับโทษต่อได้ คำขอส่วนนี้จึงให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่หมีควายของกลางคงริบให้กรมป่าไม้
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยรับเลี้ยงดูหมีควายของกลางซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองไว้ในกรงเหล็กที่หน้าบ้านของจำเลยจะเป็นความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๙ วรรคหนึ่ง ตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่นั้น เห็นว่า คำว่า “ครอบครอง” ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ มิได้บัญญัติให้มีความหมายเป็นพิเศษ จึงต้องถือว่าการครอบครองในกรณีนี้ต้องมีเจตนายึดถือเพื่อตนทั้งนี้ตามหลักกฎหมายทั่วไป ดังนั้น การที่จำเลยรับเลี้ยงดูหมีควายของกลางซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองไว้ชั่วคราวเพื่อรอให้สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าพัทลุงมารับไปในภายหลังนั้น จำเลยไม่มีเจตนายึดถือเพื่อตน จึงหาใช่เป็นการมีไว้ในครอบครองอันเป็นความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้างมาในคำฟ้องดังที่โจทก์ฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ พิพากษายกฟ้องโจทก์แต่ให้ริบหมีควายของกลางมานั้น จึงต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.