คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5039/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทภายในระยะเวลาที่กำหนดในสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาบังคับตามยอมให้จำเลยซึ่งเป็นคู่ความแทนที่จำเลยในอีกคดีหนึ่ง โอนขายที่ดินพิพาทแก่ผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์คดีนั้น ทำให้การโอนที่ดินพิพาทไม่อาจกระทำได้ การที่ผู้ร้องไม่ชำระราคาที่ดินพิพาทภายในกำหนดเวลาดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นฝ่ายผิดสัญญา เมื่อศาลได้พิพากษาให้คดีเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยโอนขายที่ดินพิพาทแก่ผู้ร้องแล้วผู้ร้องจึงมีสิทธิตามคำพิพากษาที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 โจทก์จะบังคับคดียึดที่ดินพิพาทให้กระทบกระทั่งสิทธิของผู้ร้องอันอาจขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นไม่ได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 287 กรณียื่นคำร้องตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287ถือได้ว่าเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เมื่อศาลชั้นต้นยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ขอให้ไต่สวนคำร้องต่อไปและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่สั่งให้ผู้ร้องใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์เกินอัตราขั้นสูงในคดีไม่มีทุนทรัพย์จึงไม่ชอบ

ย่อยาว

คดีนี้เนื่องมาจากจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนายไคล บัวพรหมมี ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้กับโจทก์โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างรวม 6 รายการ ของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษา ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึดอ้างว่าในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 553/2531 ของศาลชั้นต้น ระหว่างผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์ และนายไคล บัวพรหมมี โดยนายอนุวัฒน์ บัวพรหมมีเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลย ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ผู้ร้องเป็นผู้ซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์นำยึด ผู้ร้องย่อมอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300
โจทก์คัดค้านว่า การยึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้ยึดไว้ก่อนที่ผู้ร้องกับนายอนุวัฒน์ บัวพรหมมี จะได้ยอมความกันในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 553/2531 ของศาลชั้นต้น ข้อตกลงระหว่างผู้ร้องกับนายอนุวัฒน์ตามสัญญายอมในคดีดังกล่าวเป็นเพียงสัญญาจะซื้อขายผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ถูกยึด ขอให้ยกคำร้อง
ก่อนมีการไต่สวนคำร้อง ศาลชั้นต้นได้สอบข้อเท็จจริงจากคู่ความตามคำร้อง ของโจทก์ที่ขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นฟังได้ว่าที่ดินที่โจทก์นำยึดยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย คดีไม่จำต้องสืบพยานต่อไปแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้ผู้ร้องใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 8,000 บาท
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความตามสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 19 ธันวาคม 2531 ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 553/2531 ระหว่างผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์กับนายไคล บัวพรหมมี โดยนายอนุวัฒน์ บัวพรหมมีเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยว่าจำเลยตกลงยอมโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้ผู้ร้องภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ผู้ร้องชำระเงินค่าที่ดิน ผู้ร้องยอมนำเงินมาวางศาลเพื่อชำระค่าที่ดินให้จำเลยภายใน3 เดือน นับแต่วันทำสัญญาหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนา นอกจากนี้ผู้ร้องยังได้แถลงต่อศาลตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 28 มีนาคม 2532 ว่า ผู้ร้องยังมิได้ชำระเงินให้จำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เพราะจำเลยไม่อาจจะปฏิเสธตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ เนื่องจากโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทไว้ก่อนแล้ว และผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งระงับการขายทอดตลาด และถอนการยึดที่ดินพิพาทเมื่อวันที่22 ธันวาคม 2531 และ 13 มกราคม 2532 ซึ่งเป็นระยะเวลาภายในกำหนดเวลาในสัญญาประนีประนอมยอมความ ประกอบทั้งการปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความก็เป็นการชำระหนี้ตอบแทนซึ่งกันและกัน ดังนั้น เมื่อคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาคำร้อง ของผู้ร้องและคำคัดค้านของโจทก์ ทำให้การโอนที่ดินพิพาทตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่อาจกระทำได้การที่ผู้ร้องไม่วางเงินภายในกำหนดเวลาดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นฝ่ายผิดสัญญาดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย และเมื่อศาลได้พิพากษาให้คดีเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นแล้ว ผู้ร้องจึงมีสิทธิตามคำพิพากษาที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 แม้ที่ดินพิพาทจะยังมีชื่อเป็นของจำเลยอยู่ และโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทไว้ก่อนแล้วก็ตาม แต่โจทก์ก็จะบังคับคดียึดที่ดินพิพาทให้กระทบกระทั่งสิทธิของผู้ร้องอันอาจขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 แม้ที่ดินพิพาทจะยังมีชื่อเป็นของจำเลยอยู่ และโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทไว้ก่อนแล้วก็ตาม แต่โจทก์ก็จะบังคับคดียึดที่ดินพิพาทให้กระทบกระทั่งสิทธิของผู้ร้องอันอาจขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นหาได้ไม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287
สำหรับปัญหาตามฎีกาผู้ร้องประการต่อมาว่า คดีนี้เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ศาลอุทธรณ์ให้ผู้ร้องใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 8,000 บาทนั้น สูงเกินไป เห็นว่า กรณีตามคำร้องเป็นเรื่องที่ผู้ร้องยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ย่อมถือได้ว่าเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้เมื่อศาลชั้นต้นยกคำร้องของผู้ร้อง และผู้ร้องอุทธรณ์ขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้อง ของผู้ร้องต่อไป การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนแต่สั่งให้ผู้ร้องใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์8,000 บาท จึงเกินอัตราขั้นสูงในคดีไม่มีทุนทรัพย์ ตามตาราง 6 อัตราค่าทนายความที่กำหนดไว้ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งคำสั่งดังกล่าวจึงไม่ชอบ
พิพากษากลับ ให้ถอนการยึดที่ดินพิพาท ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share