แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัยและเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 225 ประกอบด้วยมาตรา 195 จึงไม่รับฎีกา
จำเลยที่ 1 เห็นว่า ฎีกาในประเด็นที่ว่า โจทก์มีหน้าที่ นำสืบ ว่าของกลางยังไม่ได้เสียภาษีและนำเข้าโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ตามฟ้อง ศาลจะลงโทษจำเลยที่ 1 ไม่ได้และในประเด็นที่ว่า การที่จำเลยที่ 1 เพียงแต่รับซื้อของที่มีผู้ลักลอบนำเข้ามาโดยไม่เสียภาษีนั้น ไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร มาตรา 27 ล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่มีสาระสำคัญอันควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกาทั้งสิ้นโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 139)
คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 626/2533 หมายเลขแดงที่ 392/2535หมายเลขแดงที่ 393/2535 และหมายเลขแดงที่ 394/2535ของศาลชั้นต้น แต่คดีดังกล่าวถึงที่สุดโดยคู่ความมิได้อุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งห้ามีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ จำเลยที่ 1ปรับ 93,600 บาท จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ปรับคนละ 26,000 บาทคำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวนของจำเลยที่ 2ถึงที่ 5 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามคงปรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 คนละ 17,333.33 บาท ข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 138)
จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 139)
คำสั่ง
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในข้อหาว่า ซื้อหรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งเลื่อยโซ่ของกลางจำนวน 4 เครื่อง อันตนรู้ว่าเป็นของ ที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากรข้อห้ามหรือ ข้อจำกัด ตามพระราชบัญญัติศุลกากร มาตรา 27 ซึ่งมาตรา 100ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติวิธีพิจารณาไว้เป็นพิเศษว่าหน้าที่พิสูจน์ตกอยู่แก่จำเลยทุกคดีไป จำเลยที่ 1 จึงต้องนำสืบให้เห็นว่าเลื่อยโซ่ของกลางที่จำเลยที่ 1 รับไว้ได้ชำระภาษีโดยถูกต้องแล้ว ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาโต้เถียงว่า โจทก์มีหน้าที่ต้องพิสูจน์ว่าของกลางได้ชำระภาษีแล้วหรือไม่จึงขัดแย้งต่อกฎหมายที่บัญญัติไว้ชัดแจ้งแล้ว เป็นฎีกาข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก สำหรับข้อที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ไม่มีเจตนาฉ้อภาษีของรัฐนั้น เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง