คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5036-5038/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นผู้ช่วยสมุห์บัญชีธนาคาร ทำปลอมสมุดเงินฝากของผู้เสียหายทั้งสามจากนั้นนำไปอ้างต่อผู้เสียหายเพื่อให้ผู้เสียหายเข้าใจว่าจำเลยนำเงินของผู้เสียหายฝากธนาคารเรียบร้อยแล้ว การปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมแม้จะเกิดขึ้นต่างวาระกันกับความผิดฐานยักยอกก็ตาม แต่จำเลยมีเจตนาที่จะใช้เอกสารปลอมดังกล่าวเป็นหลักฐานเพื่อยักยอกเงินของผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวกัน เมื่อจำเลยถูกศาลพิพากษาลงโทษในความผิดฐานยักยอกคดีถึงที่สุดแล้ว สิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องจำเลยในความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม ก็ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องจำเลยสามสำนวน ศาลสั่งรวมพิจารณามีใจความฟ้องทำนองเดียวกันว่า จำเลยเป็นผู้ช่วยสมุห์บัญชี ได้ปลอมสมุดเงินฝากประจำของธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาเชียงใหม่ โดยเติมข้อความในช่องผู้ฝากเงินว่า คุณสุนีย์ ฯ ฝากเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท นางเล็ก ฯ ฝากเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท และคุณขวัญเรือน ฯ ฝากเงิน ๑๑,๐๐๐ บาท เมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๒๙, ๒๙ สิงหาคม ๒๕๒๙ และ ๑๑ กันยายน ๒๕๒๙ แล้วลงลายมือชื่อจำเลย ประทับตราธนาคารลงในช่องผู้รับมอบอำนาจโดยไม่ผ่านวิธีการตามระเบียบของธนาคาร ต่อมาเมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๒๙ ระหว่างวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๒๙ ถึง ๑๖ มกราคม ๒๕๓๐ และระหว่างวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๒๙ ถึง ๑๖ มกราคม ๒๕๓๐ หลังจากปลอมสมุดเงินฝากแล้ว จำเลยนำสมุดดังกล่าวไปอ้างแสดงต่อนางสาวสุนีย์ นางเล็กและนางขวัญเรือน เพื่อแสดงว่าจำเลยนำเงินฝากของบุคคลดังกล่าวเข้าฝากต่อธนาคารแล้ว และธนาคารได้ออกสมุดเงินฝากประจำให้ไว้เป็นหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อนางสาวสุนีย์ นางเล็กนางขวัญเรือน ธนาคาร และประชาชน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๖๔, ๒๖๕ และ ๒๖๘ ริบสมุดเงินฝากของกลางและนับโทษจำเลยต่อจากคดีอื่น
จำเลยให้การปฏิเสธทั้งสามสำนวน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้เสียหายตามฟ้องทั้ง ๓ สำนวนต่างมอบเงินให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ช่วยสมุห์บัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาเชียงใหม่ เพื่อนำเข้าฝากไว้ที่ธนาคารดังกล่าว แต่จำเลยกลับเบียดบังเงินของผู้เสียหายที่มอบให้ดังกล่าวเป็นของจำเลยโดยทุจริต แล้วจำเลยได้นำสมุดเงินฝากตามฟ้องที่จำเลยทำปลอมขึ้นไปอ้างต่อผู้เสียหาย จำเลยถูกฟ้องฐานยักยอกเงินของผู้เสียหาย ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์มาฟ้องจำเลยฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมตามฟ้องอีก เห็นว่า ที่จำเลยทำปลอมสมุดเงินฝากขึ้น และนำไปอ้างต่อผู้เสียหาย ก็เพื่อให้ผู้เสียหายเข้าใจว่าจำเลยนำเงินของผู้เสียหายฝากธนาคารเรียบร้อยแล้วแม้การปลอมและการใช้สมุดเงินฝากที่ทำปลอมขึ้นจะต่างวาระกันกับความผิดฐานยักยอก แต่ก็เป็นเจตนาของจำเลยที่จะใช้สมุดเงินฝากที่ทำปลอมขึ้นเป็นหลักฐานเพื่อยักยอกเงินของผู้เสียหายนั่นเองความผิดฐานปลอมเอกสาร ใช้เอกสารปลอมและฐานยักยอกจึงเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงเป็นกรรมเดียวกัน เมื่อจำเลยถูกศาลพิพากษาลงโทษในความผิดฐานยักยอกคดีถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ สิทธิที่จะฟ้องความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมซึ่งเป็นการกระทำกรรมเดียวกันกับความผิดฐานยักยอก ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๔) ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share