คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5035/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์นำหนี้ตามคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดแล้วมาเป็น มูลฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย มิใช่เรื่องการบังคับตาม คำพิพากษาหรือคำสั่ง ตามที่บัญญัติไว้ในภาค 4 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงไม่อาจนำบทบัญญัติเกี่ยวกับระยะเวลาการบังคับคดีตามมาตรา 271 มาบังคับแก่กรณีนี้ได้ แต่เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยกับพวกให้ล้มละลายโดย อาศัยมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาที่ถึงที่สุดมีอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/32 การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายภายในกำหนดอายุความ 10 ปี นับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด โจทก์จึงมีสิทธินำหนี้ดังกล่าวมาฟ้องให้จำเลยกับพวกล้มละลายได้ และย่อมมีผลเท่ากับเป็น การฟ้องคดีเพื่อให้ชำระหนี้อย่างหนึ่งตามวิธีการที่พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 บัญญัติไว้โดยเฉพาะอันทำให้อายุความสะดุดหยุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/14(2) กรณีมิใช่เรื่องการบังคับคดี จึงต้องเริ่มนับอายุความโดยเริ่มนับแต่เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงคือ ถัดจากวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคลเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 500,000 บาท และจำเลยที่ 2 ที่ 3เป็นบุคคลธรรมดาเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาไม่น้อยกว่า 50,000บาท และจำเลยทั้งสามไม่มีทรัพย์สินอื่นใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ ซึ่งต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 8(5) ว่าเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว จึงชอบที่ศาลจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาด ตามมาตรา 14

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยทั้งสามล้มละลาย
จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดพิจารณาสืบพยานโจทก์โจทก์และจำเลยทั้งสามต่างแถลงไม่สืบพยานโดยโจทก์แถลงรับข้อเท็จจริงว่า นับแต่ศาลชั้นต้นพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2245/2530 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2530 ถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2540(วันที่โจทก์แถลง) โจทก์ไม่สามารถยึดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามเพื่อบังคับคดีได้และจำเลยทั้งสามแถลงยอมรับข้อเท็จจริงตามคำฟ้องโจทก์ในข้อ 1 ถึงข้อ 4 ว่าจำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวจริงโดยศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2530 หลังจากนั้นจำเลยทั้งสามไม่ได้ชำระหนี้แก่โจทก์ และโจทก์ได้สืบหาทรัพย์สินของจำเลยทั้งสามไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามมีทรัพย์สินอื่นใดที่จะยึดมาขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ได้ แต่จำเลยทั้งสามยังสงวนข้อต่อสู้ตามคำให้การ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า จำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2245/2530 ของศาลชั้นต้น ซึ่งพิพากษาเมื่อวันที่13 กุมภาพันธ์ 2530 คดีถึงที่สุด จำเลยทั้งสามมิได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงนำมูลหนี้ตามคำพิพากษามาฟ้องจำเลยทั้งสามให้ล้มละลายเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2540ซึ่งหนี้ตามคำพิพากษาเมื่อคิดถึงวันฟ้องจำเลยที่ 1 ค้างชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน 605,150 บาท จำเลยที่ 2 และที่ 3ค้างชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน 353,875 บาท จำเลยทั้งสามไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่า โจทก์มีสิทธินำหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2245/2530มาฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามล้มละลายในคดีนี้ได้หรือไม่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 13กุมภาพันธ์ 2530 โจทก์จะต้องดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยทั้งสามให้เสร็จสิ้นภายใน 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การที่โจทก์นำหนี้ตามคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดแล้วมาเป็นมูลฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย มิใช่เรื่องการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งตามที่บัญญัติไว้ในภาค 4 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงไม่อาจนำบทบัญญัติเกี่ยวกับระยะเวลาการบังคับคดีตามมาตรา 271 มาบังคับแก่กรณีนี้ได้ แต่เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามให้ล้มละลายโดยอาศัยมูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 2245/2530 ของศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาที่ถึงที่สุดมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/32 ดังนั้น การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามล้มละลายเมื่อวันที่ 13กุมภาพันธ์ 2540 ซึ่งอยู่ภายในกำหนดอายุความ 10 ปี นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด โจทก์จึงมีสิทธินำหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวมาฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามล้มละลายได้ ส่วนข้อฎีกาของจำเลยทั้งสามที่ว่า แม้โจทก์จะฟ้องคดีนี้ภายในกำหนดเวลา10 ปี แต่ทนายโจทก์แถลงรับในรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่2 มิถุนายน 2540 ว่า นับแต่มีคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2245/2530 ถึงวันบันทึกรายงานกระบวนพิจารณา โจทก์ไม่สามารถยึดทรัพย์สินจำเลยทั้งสามบังคับคดีได้อันเป็นระยะเวลาที่ล่วงเลยกำหนดระยะเวลาบังคับคดี 10 ปีแล้ว ศาลจึงไม่อาจมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาดนั้น เห็นว่า การที่โจทก์นำหนี้ตามคำพิพากษามาเป็นมูลฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามล้มละลายภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุดซึ่งอยู่ภายในกำหนดอายุความตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้วย่อมมีผลเท่ากับเป็นการฟ้องคดีเพื่อให้ชำระหนี้อย่างหนึ่งตามวิธีการที่พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 บัญญัติไว้โดยเฉพาะอันทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/14(2) กรณีมิใช่เรื่องการบังคับคดีจึงต้องเริ่มนับอายุความโดยเริ่มนับแต่เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงคือถัดจากวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ ดังนั้นระยะเวลาภายหลังจากนั้นก็หามีผลต่อคดีไม่ เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 500,000 บาท และจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 บาท และปรากฏว่าจำเลยทั้งสามไม่มีทรัพย์สินอื่นใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ซึ่งต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8(5) ว่าเป็นผู้มีหนี้สินพ้นตัวก็ชอบที่ศาลจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดตามมาตรา 14 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเด็ดขาดนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share