แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 2 สามีโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้องทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์โดยผู้ร้องยินยอมและให้ผู้ร้องสามารถเบิกจ่ายจากบัญชีได้ และจำนองทรัพย์พิพาทไว้แก่โจทก์ ย่อมมีเหตุผลให้เชื่อว่าจำเลยที่ 2 กับผู้ร้องร่วมกันกระทำการดังกล่าวเพื่อนำเงินมาลงทุนทำการค้าขายพืชไร่ร่วมกัน ถือว่าเป็นหนี้ร่วมอันเกิดขึ้นเนื่องจากการงานซึ่งสามีภรรยาทำด้วยกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490(3) จำเลยที่ 2 กับผู้ร้องต้องร่วมกันรับผิด ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอกันส่วนของผู้ร้องจากทรัพย์พิพาท
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีพร้อมดอกเบี้ย ศาลพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 13,955,609.92 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี หากจำเลยทั้งสามผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดีทันที โดยยอมให้โจทก์ยึดทรัพย์สินจำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดภายหลังจำเลยทั้งสามไม่ชำระ โจทก์จึงขอออกหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดิน น.ส.3 และที่ดินมีโฉนดโดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยที่ 2 เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 2 ระหว่างอยู่กินด้วยกันมีสินสมรสคือที่ดินมีโฉนดและที่ดิน น.ส.3 ที่ตำบลตาคลี อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์พร้อมสิ่งปลูกสร้าง โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินดังกล่าวซึ่งเป็นส่วนของผู้ร้องกึ่งหนึ่ง ผู้ร้องไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ และมิได้ผูกพันเกี่ยวข้องกับจำเลยทั้งสามในการที่จำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของผู้ร้อง จึงขอให้กันส่วนทรัพย์สินของผู้ร้องไว้กึ่งหนึ่งแล้วจึงนำเอาทรัพย์สินเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 2 อีกกึ่งหนึ่งออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาต่อไป
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า การที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีไว้ต่อโจทก์และนำที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจำนองไว้นั้น ได้รับความยินยอมจากผู้ร้อง และจำเลยที่ 2 ได้นำเงินที่ได้จากการเบิกเงินเกินบัญชีไปประกอบธุรกิจการค้าหารายได้มาจัดกิจการอันจำเป็นในครอบครัวและนำมาหมุนเวียนทางการค้าตามปกติกับผู้ร้องร่วมกัน จึงเป็นหนี้ร่วม ผู้ร้องไม่อาจขอกันส่วนได้ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ผู้ร้องอ้างว่าแยกกันอยู่กับจำเลยที่ 2 ตั้งแต่ปี 2518 แต่ก็ไม่ปรากฏว่าได้จดทะเบียนหย่าขาดจากการสมรสแต่อย่างใด จึงต้องถือว่าผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ยังเป็นสามีภรรยากันอยู่ ในการทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยที่ 2ทำไว้ต่อธนาคารโจทก์ มีผู้ร้องเป็นผู้ลงลายมือชื่อยืนยันในการทำสัญญาตามหนังสือยินยอมเอกสารหมาย จ.1 เงื่อนไขการเบิกจ่ายเงินในบัญชีตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจำเลยที่ 2 ให้ไว้ว่า ให้จำเลยที่ 2 หรือผู้ร้องคนใดคนหนึ่งสามารถเบิกจ่ายเงินจากบัญชีได้โดยบุคคลทั้งสองได้ให้ตัวอย่างลายมือชื่อไว้ต่อธนาคารโจทก์ และผู้ร้องเป็นผู้ให้ความยินยอมในการจดทะเบียนจำนอง ตามหนังสือยินยอมเอกสารหมาย จ.2 ด้วย เมื่อตรวจดูลายมือชื่อของผู้ร้องในใบแต่งทนายความและในคำเบิกความเป็นพยาน ปรากฏว่าผู้ร้องลงลายมือชื่อ2 แบบ คล้ายกัน เปรียบเทียบกับลายมือชื่อในช่องภรรยาผู้ให้ความยินยอมในเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 และลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเช็คเอกสารหมาย จ.5 แล้วปรากฏว่า ลักษณะและลีลาการเขียนคล้ายกันมากเชื่อว่าเป็นลายมือเขียนของบุคคลคนเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบระหว่างพยานหลักฐานของผู้ร้องกับของโจทก์แล้ว เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีเหตุผลมั่นคงดีกว่า ข้อเท็จจริงในส่วนนี้จึงรับฟังได้ว่า ผู้ร้องได้ลงลายมือชื่อให้ความยินยอมในเอกสารหมาย จ.1และ จ.2 และสั่งจ่ายเช็คจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของจำเลยที่ 2เพื่อชำระหนี้ค่ารถบรรทุกนายเชิดชัยตามเช็คเอกสารหมาย ร.14ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 509/2526 ของศาลชั้นต้นจริง การที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและให้ผู้ร้องสามารถเบิกจ่ายเงินจากบัญชีได้ด้วย และจำนองทรัพย์พิพาทไว้แก่โจทก์ ย่อมมีเหตุผลให้เชื่อว่าจำเลยที่ 2 กับผู้ร้องร่วมกันกระทำการดังกล่าวเพื่อนำเงินมาลงทุนทำการค้าขายพืชไร่ร่วมกัน ถือว่าเป็นหนี้ร่วมอันเกิดขึ้นเนื่องจากการงานซึ่งสามีภรรยาทำด้วยกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490(3) จำเลยที่ 2 กับผู้ร้องต้องร่วมกันรับผิดผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอกันส่วนของผู้ร้องจากทรัพย์พิพาท