แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามสัญญาจ้างระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์ ข้อ 22 ความว่า”ถ้าผู้รับจ้างส่งมอบงานล่าช้ากว่าวันแล้วเสร็จตามสัญญาแต่ผู้ว่าจ้างก็ยังมิได้บอกเลิกสัญญา ผู้รับจ้างยอมให้ผู้ว่าจ้างปรับเป็นรายวัน” เบี้ยปรับดังกล่าวเป็นค่าเสียหายที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งจำเลยที่ 1 ผู้รับจ้างสัญญาว่าจะให้เบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องตามสมควร ดังนั้นโจทก์ผู้ว่าจ้างย่อมมีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับได้ตามสัญญาแต่การที่โจทก์ผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญากับจำเลยที่ 1 ภายหลังวันครบกำหนดที่โจทก์ผู้ว่าจ้างต้องทำการก่อสร้างให้แล้วเสร็จและโจทก์ก็ไม่ได้ว่าจ้างบุคคลใดก่อสร้างซ่อมแซมงานที่ขาดตกบกพร่องให้แล้วเสร็จโดยพลัน จึงมีส่วนผิดที่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปเป็นเวลาถึง 132 วัน ซึ่งศาลชอบที่ใช้ดุลพินิจตามที่เห็นสมควรกำหนดเบี้ยปรับที่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้เป็นเวลาเพียง 60 วันได้ ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า ในการซ่อมแซมงานก่อสร้างโจทก์ผู้ว่าจ้างต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มจากที่ควรจ่ายตามสัญญาเดิมที่ทำไว้กับจำเลยที่ 1 เท่าใด แต่ถึงอย่างไรก็ตาม โจทก์ย่อมได้รับความเสียหาย ศาลย่อมใช้ดุลพินิจกำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้ให้โจทก์ได้ตามที่ศาลเห็นสมควร ส่วนค่าเสียหายในการเช่าสถานที่อื่นนั้น เป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ จำเลยที่ 1 มิได้คาดเห็นล่วงหน้าก่อน จำเลยที่ 1จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 222 วรรคสอง จำเลยที่ 1 ทำงานงวดสุดท้ายไปแล้วหากแต่ทำงานไปโดยยังไม่เรียบร้อยมีข้อบกพร่องและไม่แก้ไขความชำรุดบกพร่องจนกระทั่งพ้นกำหนดระยะเวลา โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและให้บุคคลอื่นซ่อมแซมงานที่ยังไม่เรียบร้อยนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จำเลยที่ 1 ไม่ทำงานเสียเลยทีเดียว อันถึงกับจะทำให้โจทก์มีสิทธิไม่จ่ายค่าจ้างให้จำเลยที่ 1 โจทก์จึงมีสิทธิหักค่าจ้างเท่าที่ต้องเสียไป แต่ไม่มีสิทธิงดจ่ายค่าจ้างงวดสุดท้ายเสียทั้งหมด อันเป็นค่าการงานที่จำเลยที่ 1 ทำให้ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสาม
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวน ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษาด้วยกันโดยให้เรียกมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นโจทก์ห้างหุ้นส่วนจำกัดพพโรจน์สมพงษ์พาณิชย์ เป็นจำเลยที่ 1นายไพโรจน์ เจริญผล เป็นจำเลยที่ 2 และธนาคารศรีนคร จำกัด เป็นจำเลยที่ 3 ตามลำดับ
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 429,510 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิด 78,000 บาท
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การต่อสู้คดีขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การต่อสู้คดีขอให้ยกฟ้อง
สำนวนหลังโจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยใช้เงิน541,578 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน522,720 บาท ต่อจากวันฟ้อง จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การต่อสู้คดีขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในสำนวนแรกและพิพากษาให้โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในสำนวนหลังใช้เงินแก่จำเลยที่ 1และที่ 2 จำนวน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 27 มีนาคม 2530 จนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์อุทธรณ์ทั้งสองสำนวน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ใช้เงินแก่จำเลยที่ 1 จำนวน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 27 มีนาคม 2530 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงฟังยุติตามที่คู่ความนำสืบรับกันว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ โจทก์ทำสัญญาจ้างจำเลยที่ 1 ก่อสร้างสนามกรีฑาที่ตำบลศาลายา อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ตามแบบรูปและรายละเอียดที่แนบท้ายสัญญาในราคา 780,000 บาท กำหนดแล้วเสร็จภายในวันที่ 29 มีนาคม 2530 โดยแบ่งงวดงานเป็น 2 งวด งวดที่ 1 ส่งมอบภายในวันที่ 14 ธันวาคม 2529 งวดที่ 2 ส่งมอบภายในวันที่ 29 มีนาคม 2530 ปรากฎรายละเอียดตามสำเนาสัญญาจ้างแบบรูปและรายละเอียดที่แนบท้ายสัญญาเอกสารหมาย จ.1 – จ.5 โดยจำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันสัญญาจำเลยที่ 1 ดำเนินการก่อสร้าง และวันที่ 27 มีนาคม 2530จำเลยที่ 1 ส่งมอบงานให้โจทก์ กรรมการตรวจการจ้างของโจทก์รับมอบงานเฉพาะงานงวดที่ 1 ส่วนงานงวดสุดท้ายไม่ยอมรับอ้างว่ายังอยู่ระหว่างดำเนินการ 4 รายการ ปรากฎตามเอกสารหมาย จ.7 ต่อมาผู้อำนวยการโครงการศูนย์ศาลายามีหนังสือลงวันที่ 22 มิถุนายน 2530 แจ้งให้จำเลยที่ 1 ดำเนินการแก้ไขงานที่ก่อสร้างบกพร่องเพิ่มอีก 7 รายการ ตามเอกสารหมาย จ.9
คดีมีเหตุผลน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ทำงานไม่แล้วเสร็จตามกำหนดเวลาตามสัญญา จำเลยที่ 1 จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตามสัญญาข้อ 5 มีปัญหาต่อไปว่าโจทก์จะเรียกร้องเบี้ยปรับได้หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.1 ข้อความว่า ข้อ 22 ถ้าผู้รับจ้างส่งมอบงานล่าช้ากว่าวันแล้วเสร็จตามสัญญา แต่ผู้ว่าจ้างยังมิได้บอกเลิกสัญญา ผู้รับจ้างยอมให้ผู้ว่าจ้างปรับเป็นรายวันวันละ 780 บาท ดังนั้นเบี้ยปรับเป็นค่าเสียหายที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งจำเลยที่ 1 ผู้รับจ้างสัญญาไว้ว่าจะให้เบี้ยปรับ เมื่อตนไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องตามสมควร เช่นไม่ชำระหนี้ตรงตามเวลากำหนดไว้ ดังนั้น โจทก์ผู้ว่าจ้างจะเรียกเอาเบี้ยปรับได้ตามสัญญา แต่การที่โจทก์บอกเลิกสัญญากับจำเลยที่ 1 ภายหลังวันครบกำหนดที่โจทก์ต้องทำการก่อสร้างให้แล้วเสร็จ และโจทก์ไม่ได้ว่าจ้างบุคคลใดก่อสร้างซ่อมแซมงานที่ขาดตกบกพร่องให้แล้วเสร็จไปโดยพลัน จึงมีส่วนผิดที่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปเป็นเวลาถึง 132 วัน เมื่อคำนวณงานที่ยังไม่แล้วเสร็จ 4 รายการและบกพร่อง 7 รายการแล้วศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดเบี้ยปรับที่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้ให้เพียง 60 วัน คิดเป็นเงิน46,800 บาท ปัญหาต่อไปมีว่าโจทก์เรียกค่าเสียหายในการที่จ้างบุคคลอื่นก่อสร้างซ่อมแซมงานที่จำเลยที่ 1 ทำไม่เสร็จได้หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า งานก่อสร้างที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 ทำยังไม่แล้วเสร็จ 4 รายการ และมีบกพร่องอีก7 รายการนั้น ที่จริงจำเลยที่ 1 ทำงานนั้นแล้วแต่ยังไม่เรียบร้อยบริบูรณ์และส่งมอบงานตามสัญญา แต่งานดังกล่าวยังชำรุดบกพร่องอยู่ การซ่อมแซมให้เรียบร้อยสมบูรณ์จำต้องรื้อทุบทำลายวัสดุก่อสร้างที่ไม่เรียบร้อยออกแล้วใช้ของใหม่แทน ขณะที่โจทก์นำคดีมาฟ้อง ปรากฎว่าโจทก์ทำสัญญาจ้างบุคคลอื่นทำการซ่อมแซมก่อสร้างที่ชำรุดขาดตกบกพร่อง แต่โจทก์มิได้สืบให้เห็นว่าได้ซ่อมแซมส่วนใด ต้องรื้อส่วนใดสร้างใหม่ในราคาเท่าใด เพียงแต่อ้างส่งสัญญาจ้างและไม่นำผู้รับจ้างมาสืบรับรองเอกสารดังกล่าว ทั้งไม่ปรากฎว่าผู้รับจ้างได้ทำงานแล้วเสร็จตามสัญญาหรือไม่ พยานหลักฐานของโจทก์จึงไม่มั่นคงพอฟังว่า ในการซ่อมแซมงานก่อสร้างสนามกรีฑาพิพาท โจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มจากที่ควรจ่ายตามสัญญาเดิมที่ทำไว้กับจำเลยที่ 1 เป็นเงินถึง 298,800 บาทแต่ถึงอย่างไรก็ตามโจทก์ย่อมได้รับความเสียหาย ดังนั้นเมื่อพิจารณางานก่อสร้างที่ยังไม่แล้วเสร็จและชำรุดบกพร่องอยู่ตามเอกสารหมาย จ.7 จ.9 ประกอบกับจำเลยที่ 2 รับว่าได้ดำเนินการแก้ไขไปบ้างแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้โจทก์เป็นเงิน 150,000 บาท ส่วนค่าเสียหายในการให้เช่าสนามกรีฑานั้น เป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ จำเลยที่ 1 มิได้คาดเห็นพฤติการณ์เช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 222 วรรคสองเมื่อจำเลยที่ 1 ทำงานไม่แล้วเสร็จตามสัญญา ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันต้องร่วมรับผิด อนึ่ง เมื่อคดีได้ความว่าจำเลยทำงานงวดสุดท้ายไปแล้ว หากแต่ทำงานไปโดยยังไม่เรียบร้อยมีข้อบกพร่องและไม่แก้ไขความชำรุดบกพร่องจนกระทั่งพ้นกำหนดระยะเวลา โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาให้บุคคลอื่นซ่อมแซมงานที่ยังไม่เรียบร้อยและมีข้อบกพร่องอยู่ จึงไม่ใช่เรื่องจำเลยที่ 1 ไม่ทำงานเลยถึงกับโจทก์จะมีสิทธิไม่จ่ายค่าจ้างให้จำเลยที่ 1 โจทก์มีสิทธิหักค่าจ้างเท่าที่ต้องเสียไป แต่ไม่มีสิทธิจะงดจ่ายค่าจ้างงวดสุดท้ายเสียทั้งหมด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 ดังนั้น โจทก์จึงมีสิทธิหักค่าเสียหายจำนวน196,800 บาท จากค่าจ้างงวดสุดท้ายจำนวน 400,000 บาทได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์จ่ายค่าจ้างให้แก่จำเลยที่ 1จำนวน 203,200 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์