คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5025/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า เงินเบี้ยเลี้ยงที่โจทก์ได้รับคือเงินประจำตำแหน่ง มิใช่เงินเบี้ยเลี้ยงตามที่โจทก์กล่าวอ้าง เมื่อจำเลยย้ายโจทก์ไปอยู่แผนกอื่นจึงมีอำนาจตัดไม่จ่ายให้ได้ การที่โจทก์อุทธรณ์ว่าเงินส่วนนี้เป็นเบี้ยเลี้ยงตามที่โจทก์ฟ้องและนำสืบ เพื่อให้เห็นว่าการตัดเบี้ยเลี้ยงของโจทก์เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมาดังกล่าว เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีเแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างรายวันของจำเลย ประจำแผนกแพ็คกิ้ง ได้รับค่าแรงวันละ ๙๕ บาท เบี้ยเลี้ยงวันละ ๑๕ บาท ต่อมาจำเลยย้ายโจทก์ไปทำงานแผนกตอก และตัดเบี้ยเลี้ยงโจทก์ แล้วต่อมาก็ย้ายโจทก์กลับมาทำงานในแผนกแพ็คกิ้งอย่างเดิม แต่จำเลยไม่จ่ายเบี้ยเลี้ยงให้โจทก์การกระทำของจำเลยเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง โดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ ทำให้โจทก์ขาดรายได้ จำเลยค้างจ่ายเบี้ยเลี้ยง การตัดเบี้ยเลี้ยงทำให้ฐานการคำนวณค่าล่วงเวลาลดลง ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าจ้างและค่าล่วงเวลาจำนวน ๑,๒๑๘.๗๕ บาท พร้อมดอกเบี้ย และให้จำเลยจ่ายเงินเพิ่มอัตราร้อยละสิบห้าทุก ๗ วัน นับแต่วันผิดนัดและให้จำเลยจ่ายเบี้ยเลี้ยงวันละ ๑๕ บาทให้แก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๓๓ เป็นต้นไป
จำเลยให้การว่า การแต่งตั้งคนงานธรรมดาให้เป็นหัวหน้างานหรือตำแหน่งสูงขึ้นเป็นสิทธิของจำเลย เมื่อผู้ใดได้รับแต่งตั้งก็จะมีเงินประจำตำแหน่ง ๒๕ บาทสำหรับหัวหน้างาน และ๑๕ บาทสำหรับผู้ช่วยหัวหน้างาน แต่ถ้าถูกย้ายกลับมาเป็นคนงานธรรมดาเงินประจำตำแหน่งก็จะถูกตัดไปด้วย โจทก์เคยได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยหัวหน้างาน ต่อมาถูกย้ายกลับมาเป็นคนงานธรรมดา จำเลยจึงตัดเงินประจำตำแหน่งของโจทก์ จำเลยไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า เงินที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่าเป็นเบี้ยเลี้ยงเป็นเงินประจำตำแหน่งตามคำให้การของจำเลย การที่จำเลยย้ายโจทก์ไปอยู่แผนกอื่นและตัดเบี้ยเลี้ยงโจทก์ (เงินประจำตำแหน่ง) เป็นการพิจารณาไปตามความเหมาะสม กรณีฟังไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า การที่จำเลยไม่จ่ายเบี้ยเลี้ยงให้โจทก์ตามที่เคยจ่ายเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง ขอให้จำเลยจ่ายเบี้ยเลี้ยงที่ค้างจ่ายพร้อมดอกเบี้ย และจ่ายเบี้ยเลี้ยงให้โจทก์วันละ ๑๕ บาทเช่นเดิมนั้น เห็นว่า ตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ถือว่าจำเลยเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย คือการที่จำเลยตัดเบี้ยเลี้ยงของโจทก์ออกไปไม่ยอมจ่ายให้ ซึ่งปัญหาเรื่องเบี้ยเลี้ยงตามที่โจทก์กล่าวอ้างนั้น ศาลแรงงานกลางได้ฟังข้อเท็จจริงว่าเงินเบี้ยเลี้ยงที่โจทก์ได้รับคือเงินประจำตำแหน่งตามคำให้การของจำเลยมิใช่เงินเบี้ยเลี้ยงตามที่โจทก์กล่าวอ้าง เมื่อจำเลยย้ายโจทก์ไปอยู่แผนกอื่นจึงมีอำนาจตัดออกไปไม่จ่ายให้ได้ดังนั้น การที่โจทก์อุทธรณ์ว่าเงินส่วนนี้เป็นเบี้ยเลี้ยงตามที่โจทก์ฟ้องและนำสืบมา เพื่อให้เห็นว่าการตัดเบี้ยเลี้ยงของโจทก์เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมาดังกล่าวข้างต้น อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๕๔ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์.

Share