แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยออกตั๋วสัญญาใช้เงินนำมาขายแก่โจทก์ โดยทำสัญญาขายลดตั๋วเงินกับโจทก์มีข้อความสำคัญว่า จำเลยได้รับเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินไปจากโจทก์แล้ว หากปรากฏว่าเมื่อตั๋วถึงกำหนดชำระโจทก์ไม่อาจเรียกเก็บเงินได้หรือมีกรณีอื่นใด ซึ่งโจทก์ต้องเสียหายไม่ได้รับชำระหนี้จนครบถ้วน จำเลยยอมรับผิดใช้หนี้ตามตั๋วทั้งหมดคืนแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ18.5 ต่อปี และหากโจทก์ไม่ได้รับเงินชำระหนี้ตามตั๋วฉบับใดฉบับหนึ่ง จำเลยยอมรับผิดชดใช้ให้โจทก์ตามสัญญาทุกประการ ดังนั้นโจทก์และจำเลยจึงมีความผูกพันกันตามสัญญาขายลดตั๋วเงินด้วยแม้โจทก์มิได้ฟ้องจำเลยผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินภายในกำหนดสามปีนับแต่วันตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดใช้เงินเป็นเหตุให้ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1001 ก็ตาม แต่โจทก์ก็ยังมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาขายลดตั๋วเงินได้สัญญาขายลดตั๋วเงินไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้จึงต้องใช้อายุความ10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2528 และวันที่ 20มีนาคม 2528 จำเลยที่ 1 ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินนำมาขายให้โจทก์2 ฉบับ จำนวนเงิน 2,500,000 บาท โดยจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ได้รับเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินไปจากโจทก์ครบถ้วนแล้วเมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนด จำเลยที่ 1 ไม่นำเงินมาชำระให้โจทก์คิดดอกเบี้ยนับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดจนถึงวันฟ้องจากต้นเงินตามตั๋วทั้งสองฉบับเป็นเงิน 1,353,047.90 บาท รวมกับต้นเงินเป็น 3,853,047.90 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี จากต้นเงิน 2,500,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เพราะตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับที่จำเลยที่ 1 ออกและขายให้โจทก์ ถึงกำหนดใช้เงินในวันที่ 12 เมษายน 2528 และ วันที่ 17 พฤษภาคม 2528ตามลำดับ การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องในวันที่ 7 ตุลาคม 2531 จึงเลยกำหนดเวลา 3 ปี ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยมีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกัน ฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์ เพราะนายวิระ รมยะรูป ไม่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์จำเลยวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นข้อพิพาทที่กำหนดไว้และพิพากษาใหม่ตามรูปคดีต่อไป จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาในชั้นฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ ตามคำฟ้องโจทก์ประกอบเอกสารท้ายฟ้องได้ความว่าจำเลยได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน 2 ฉบับ ลงวันที่ 12กุมภาพันธ์ 2528 และวันที่ 20 มีนาคม 2528 เป็นเงินรวม 2,500,000บาท ถึงกำหนดชำระเงินวันที่ 12 เมษายน 2528 และวันที่ 17 พฤษภาคม2528 ตามลำดับ มาขายแก่โจทก์ โดยจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาขายลดตั๋วเงินลงวันที่วันเดียวกับที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับกับโจทก์ อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 18.5 ต่อปี ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2, 3, 4 และ 5 โดยจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกัน ตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับถึงกำหนดใช้เงินจำเลยทั้งสองไม่ชำระโจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ต้นเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้งสองฉบับพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดจนกว่าชำระเสร็จ เห็นว่าคดีนี้จำเลยที่ 1 ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินนำมาขายให้แก่โจทก์โดยทำสัญญาขายลดตั๋วเงินกับโจทก์มีข้อความสำคัญว่า จำเลยที่ 1ได้รับเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินไปจากโจทก์แล้ว หากปรากฏว่าเมื่อตั๋วถึงกำหนดชำระโจทก์ไม่อาจเรียกเก็บเงินได้หรือไม่กรณีอื่นใดซึ่งโจทก์ต้องเสียหายไม่ได้รับชำระหนี้จนครบถ้วน จำเลยที่ 1ยอมรับผิดใช้หนี้ตามตั๋วทั้งหมดคืนแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี ฯลฯ และหากโจทก์ไม่ได้รับเงินชำระหนี้ตามตั๋วฉบับใดฉบับหนึ่งจำเลยที่ 1 ยอมรับผิดชดใช้ให้โจทก์ตามสัญญาทุกประการ ดังนั้น โจทก์และจำเลยที่ 1 จึงมีความผูกพันกันตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวด้วย แม้โจทก์มิได้ฟ้องจำเลยที่ 1ผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินภายในกำหนดสามปี นับแต่วันตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดใช้เงินเป็นเหตุให้ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1001 ก็ตาม แต่โจทก์ก็ยังมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามสัญญาขายลดตั๋วเงินได้ สัญญาขายลดตั๋วเงินไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้จึงต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม (มาตรา 193/30ที่แก้ไขใหม่) คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม2531 ยังไม่พ้นกำหนด 10 ปี นับแต่วันทำสัญญาขายลดตั๋วเงินฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน