คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5019/2551

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งซึ่งทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมมิได้มีผลเฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ใดผู้หนึ่ง หรือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หากความปรากฏต่อผู้ร้องว่ามีการกระทำใดอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งเกิดขึ้นไม่ว่าจะโดยผู้ร้องเห็นเองหรือมีการยื่นคำร้องคัดค้านต่อผู้ร้องก็ตาม ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ควบคุมและดำเนินการจัดหรือจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมย่อมมีอำนาจดำเนินการให้มีการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 236 (5) และตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการสืบสวน สอบสวนและการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2550 ได้ การถอนคำร้องเรื่องคัดค้านของผู้คัดค้านการเลือกตั้งจึงมิใช่เงื่อนไขเด็ดขาดให้ผู้ร้องต้องใช้ดุลพินิจอนุญาตเสมอไป การที่ผู้ร้องไม่อนุญาตให้ ว. ถอนคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งและยังคงดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไป จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมและดำเนินการจัด หรือจัดให้มีการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของ ว. แต่อย่างใด และไม่ใช่กรณีขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550
ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการสืบสวนสอบสวนและการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ. 2550 ข้อ 59 เป็นเพียงการกำหนดขั้นตอนเพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องได้มีการพิจารณากลั่นกรองตามลำดับชั้นว่าสำนวนการสืบสวนสอบสวนมีความสมบูรณ์ครบถ้วนหรือไม่ หากยังไม่สมบูรณ์ครบถ้วนก็อาจสั่งให้มีการสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติม หากสมบูรณ์ครบถ้วนแล้วก็เสนอสำนวนการสืบสวนสอบสวนพร้อมทำความเห็นให้ผู้ร้องได้พิจารณาต่อไป แม้ไม่มีการเสนอสำนวนการสืบสวนสอบสวนพร้อมความเห็นของผู้เกี่ยวข้องตามลำดับชั้น ก็ไม่มีผลทำให้สำนวนการสืบสวนสอบสวนที่คณะกรรมการสืบสวนดำเนินมาทั้งหมดต้องเสียไป หรือทำให้ข้อเท็จจริงในสำนวนการสืบสวนสอบสวนเปลี่ยนแปลงไป และไม่มีผลกระทบต่อการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดเรื่องคัดค้านการเลือกตั้งซึ่งเป็นอำนาจของผู้ร้องแต่อย่างใด ในการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดเรื่องดังกล่าวผู้ร้องจะรับฟังพยานหลักฐานในส่วนไหนอย่างไรเป็นดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานซึ่งเป็นอำนาจของผู้ร้อง เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าผู้ร้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกสำนวนหรือฝ่าฝืนต่อพยานหลักฐานในสำนวน จึงถือไม่ได้ว่าผู้ร้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สุจริต ไม่ถูกต้องหรือไม่เที่ยงธรรมแต่อย่างใด
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2550 มาตรา 8 วรรคสอง บังคับให้กรรมการการเลือกตั้งที่เข้าร่วมประชุมต้องลงคะแนนเสียงเพื่อมีมติทุกคน จะงดออกเสียงหรือไม่ยอมลงมติหาได้ไม่ และในการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งกฎหมายมิได้บังคับว่าหากมีการเสนอสำนวนการสืบสวนสอบสวนให้ผู้ร้องพิจารณาแล้ว กรรมการการเลือกตั้งจะต้องลงความเห็นหรือมีมติแต่เพียงว่าต้องยกคำร้องหรือให้มีการเลือกตั้งใหม่หรือต้องเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเท่านั้น จะลงมติหรือมีความเห็นเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ดังนั้น หากกรรมการการเลือกตั้งเห็นว่าสำนวนการสืบสวนสอบสวนที่เสนอมาให้พิจารณายังไม่สมบูรณ์ครบถ้วน จำเป็นต้องสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติมในบางเรื่องบางประเด็นกรรมการการเลือกตั้งก็ย่อมลงความเห็นให้มีการสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติมได้ มติของผู้ร้องครั้งที่ 2/2551 จึงไม่ขัดต่อกฎหมาย
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 มาตรา 53 บัญญัติห้ามมิให้กระทำการต่าง ๆ ที่กฎหมายกำหนดไว้เนื่องจากเป็นการกระทำที่ส่งผลให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และบุคคลที่กฎหมายห้ามมีทั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งและผู้ที่มิใช่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง สำหรับผู้สมัครรับเลือกตั้งตามบทบัญญัติดังกล่าวมิได้หมายความแต่เพียงว่าผู้นั้นได้กระทำการอันฝ่าฝืนที่กฎหมายกำหนดในขณะที่ตนเองมีฐานะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งแล้วเท่านั้น แม้ในขณะที่กระทำการดังกล่าวผู้ร้องยังมิได้มีการประกาศสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือมีการประกาศสมัครรับเลือกตั้งแล้ว แต่ผู้นั้นยังมิได้สมัครรับเลือกตั้งก็ตาม หากการที่กระทำไปได้กระทำภายหลังจากที่มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและต่อมาผู้นั้นได้สมัครรับเลือกตั้งก็ถือได้ว่าการที่กระทำไปก่อนหน้านี้ซึ่งมีผลทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมในที่สุดแล้วก็เป็นการกระทำของผู้สมัครรับเลือกตั้งนั่นเอง นอกจากนี้ บทบัญญัติดังกล่าวมิได้ห้ามเฉพาะผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งเท่านั้น ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วนก็ถูกห้ามด้วย เพราะการกระทำของผู้สมัครรับเลือกตั้งไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ตามหากเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์แก่ผู้สมัครผู้ใดผู้หนึ่ง หรือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแล้วก็ย่อมมีผลทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมเช่นเดียวกัน ดังนั้น แม้ผู้คัดค้านที่ 1 ได้กระทำการตามที่ถูกกล่าวหาก่อนที่จะมีการประกาศสมัครรับเลือกตั้งก็ตาม แต่ต่อมาผู้คัดค้านที่ 1 ก็ได้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน กลุ่มจังหวัดที่ 1 พรรค พ. การกระทำของผู้คัดค้านที่ 1 จึงถือว่าเป็นการกระทำของผู้สมัครรับเลือกตั้งอันต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
เมื่อปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 กระทำการตามที่ถูกกล่าวหาแล้ว แม้ผู้คัดค้านที่ 2 จะมิได้รู้เห็นเป็นใจหรือสนับสนุนให้ผู้คัดค้านที่ 1 กระทำการดังกล่าวก็ตาม แต่การกระทำของผู้คัดค้านที่ 1 ดังกล่าวย่อมเป็นการเอื้อเพื่อประโยชน์ให้แก่พรรค พ. และผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในนามพรรค พ. โดยตรงอันมีผลทำให้การเลือกตั้งในส่วนของผู้คัดค้านที่ 2 มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และแม้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้ผู้คัดค้านที่ 2 ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยได้คะแนนเสียงมาเป็นอันดับที่ 1 มากกว่าผู้สมัครพรรคการเมืองคู่แข่งถึง 13,469 คะแนนก็ตาม แต่เมื่อการเลือกตั้งในส่วนของผู้คัดค้านที่ 2 มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมเสียแล้ว ผู้คัดค้านที่ 2 ก็ไม่อาจถือเอาคะแนนเสียงที่ได้รับมาเป็นข้ออ้างเพื่อมิให้มีการเลือกตั้งใหม่ได้

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านที่ 1 และสั่งให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงรายเขตเลือกตั้งที่ 3 ใหม่จำนวน 1 คน แทนผู้คัดค้านที่ 2
ผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ในวันนัดตรวจพยานหลักฐานผู้คัดค้านที่ 2 แถลงสละข้อต่อสู้ประเด็นเรื่องคำร้องของผู้ร้องเคลือบคลุม
ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นตามทางไต่สวนและที่คู่ความแถลงรับกันฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2550 ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ.2550 โดยกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ต่อมาวันที่ 28 ตุลาคม 2550 กลุ่มกำนันในเขตอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย รวม 10 คน ได้เดินทางจากจังหวัดเชียงรายไปกรุงเทพมหานคร โดยสารการบินไทยแอร์เอเชีย เอฟดี 3255 ซึ่งเที่ยวบินดังกล่าวมีนายบรรจง นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลจันจว้า และดาบตำรวจมานิตย์ร่วมเดินทางไปด้วย เมื่อไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิ นายบรรจงและกลุ่มกำนันโดยสารรถยนต์ตู้หมายเลขทะเบียน อว 39 กรุงเทพมหานคร ไปยังที่ทำการพรรคพลังประชาชน ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพมหานคร โดยมีพันตำรวจเอกประภาส ดาบตำรวจสุเทพและนางกัญชรสซึ่งรออยู่ที่สนามบินใช้รถยนต์อีกคันหนึ่งรับดาบตำรวจมานิตย์ติดตามกลุ่มกำนันดังกล่าวไปด้วย จากนั้นนายบรรจงและกลุ่มกำนันโดยสารรถยนต์ตู้หมายเลขทะเบียน ออ 1660 กรุงเทพมหานคร ของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จากที่ทำการพรรคพลังประชาชนไปที่โรงแรมเอส ซี ปาร์ค กรุงเทพมหานคร นายบรรจงและกลุ่มกำนันได้พบและพูดคุยกับผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งมีตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชนที่โรงแรมดังกล่าวและพักที่โรงแรม 1 คืน วันรุ่งขึ้นกลุ่มกำนันโดยสารรถยนต์ตู้หมายเลขทะเบียน ออ 1660 กรุงเทพมหานคร ไปสนามบินดอนเมืองและโดยสารเครื่องบินของสายการบินนกแอร์ เที่ยวบินที่ดีดี 8714 กลับจังหวัดเชียงรายต่อมาเมื่อผู้ร้องประกาศรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วนและแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ผู้คัดค้านที่ 1 สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วนกลุ่มจังหวัดที่ 1 ในนามพรรคพลังประชาชน ผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเป็นน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้คัดค้านที่ 1 สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงรายในนามพรรคพลังประชาชนเขตเลือกตั้งที่ 3 แต่ก่อนถึงวันเลือกตั้งนายวิจิตรผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย เขตเลือกตั้งที่ 3 พรรคชาติไทย ยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งต่อผู้ร้องเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2550 ว่าการที่กลุ่มกำนันในอำเภอแม่จันเดินทางไปพบผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นผู้บริหารพรรคพลังประชาชนที่กรุงเทพมหานครเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2550 ดังกล่าวน่าเชื่อว่าผู้คัดค้านที่ 1 จะต้องมีการให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่กลุ่มกำนันดังกล่าวเพื่อจูงใจให้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครพรรคพลังประชาชน หรือให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครพรรคการเมืองอื่นซึ่งเป็นการกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งอันน่าจะเป็นผลให้การเลือกตั้งในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านทั้งสองมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ปรากฏว่าผู้คัดค้านทั้งสองได้รับเลือกตั้ง ต่อมาวันที่ 14 มกราคม 2551 นายวิจิตรยื่นคำร้องขอถอนคำร้องคัดค้านการเลือกตั้ง แต่ผู้ร้องไม่อนุญาต วันที่ 18 มกราคม 2551 ผู้ร้องประกาศผลการเลือกตั้งให้ผู้คัดค้านทั้งสองเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมการสืบสวนสอบสวนได้ทำการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริงตามคำร้องคัดค้านของนายวิจิตรแล้วเสนอความเห็นต่อผู้ร้องว่าผู้คัดค้านทั้งสองกระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติ มาตรา 53 (1) และมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 เห็นควรให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านทั้งสอง และให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย เขตเลือกตั้งที่ 3 ใหม่ ผู้ร้องมีคำวินิจฉัยชี้ขาดว่าผู้คัดค้านที่ 1 กระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 และการกระทำของผู้คัดค้านที่ 1 เป็นเหตุให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย เขตเลือกตั้งที่ 3 ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านที่ 2 มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เห็นควรเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านที่ 1 และให้ดำเนินคดีอาญาแก่ผู้คัดค้านที่ 1 ตามมาตรา 53 ประกอบมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 และให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดเชียงราย เขตเลือกตั้งที่ 3 ใหม่ จำนวน 1 คน แทนผู้คัดค้านที่ 2
พิเคราะห์แล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยข้อแรกว่า การที่ผู้ร้องไม่อนุญาตให้นายวิจิตรถอนคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งชอบหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 114 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ผู้สมัคร หรือพรรคการเมืองซึ่งมีสมาชิกสมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งใดเขตเลือกตั้งหนึ่งมีสิทธิยื่นคัดค้านต่อคณะกรรมการเลือกตั้งว่าการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้นเป็นไปโดยไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนวิธีการยื่นคำคัดค้านการเลือกตั้งและการพิจารณานั้นมาตรา 114 วรรคท้าย บัญญัติให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด และคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการสืบสวนสอบสวนและการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ.2550 ซึ่งระเบียบดังกล่าวได้วางข้อกำหนดเกี่ยวกับการถอนเรื่องคัดค้านการเลือกตั้งไว้ใน ข้อ 42 วรรคหนึ่งว่า ผู้คัดค้านจะถอนเรื่องคัดค้านเสียเวลาใดก่อนที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด หรือเลขาธิการจะมีความเห็นเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งก็ได้ และข้อ 42 วรรคสอง กำหนดไว้ว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดหรือเลขาธิการจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ถอนเรื่องคัดค้านก็ได้ หากอนุญาตให้ถอนให้ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดหรือเลขาธิการยุติการดำเนินการแล้วรายงานให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อพิจารณาพร้อมสำนวน ส่วนข้อ 42 วรรคสาม กำหนดไว้ว่าในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นด้วยกับการถอนเรื่องคัดค้านให้ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดหรือเลขาธิการสั่งจำหน่ายเรื่องคัดค้านนั้นและแจ้งผู้คัดค้านทราบ หากคณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นว่าควรดำเนินการต่อไปให้ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดหรือเลขาธิการปฏิบัติไปตามนั้น จะเห็นได้ว่าแม้ระเบียบดังกล่าวมิได้ห้ามผู้คัดค้านการเลือกตั้งขอถอนคำร้องคัดค้านก็ตาม แต่การพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ถอนคำร้องคัดค้านในเบื้องต้นให้อยู่ในดุลพินิจของคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดหรือเลขาธิการแล้วรายงานให้ผู้ร้องเพื่อพิจารณา ส่วนการจะอนุญาตให้ผู้คัดค้านการเลือกตั้งถอนคำร้องคัดค้านหรือไม่ย่อมเป็นดุลพินิจของผู้ร้อง ซึ่งการให้อำนาจผู้ร้องใช้ดุลพินิจอนุญาตให้ถอนหรือไม่ให้ถอนคำร้องคัดค้านหาใช่เรื่องการจำกัดสิทธิบุคคลดังที่ผู้คัดค้านทั้งสองอ้างไม่ ทั้งนี้เพราะการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งซึ่งทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมมิได้มีผลเฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ใดผู้หนึ่ง หรือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หากความปรากฏต่อผู้ร้องว่ามีการกระทำใดอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งเกิดขึ้นไม่ว่าจะโดยผู้ร้องเห็นเองหรือมีการยื่นคำร้องคัดค้านต่อผู้ร้องก็ตาม ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ควบคุมและดำเนินการจัดหรือจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 235 ย่อมมีอำนาจดำเนินการให้มีการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 236 (5) และตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการสืบสวนสอบสวนและการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ.2550 ได้ การถอนคำร้องเรื่องคัดค้านของผู้คัดค้านการเลือกตั้งจึงมิใช่เป็นเงื่อนไขเด็ดขาดให้ผู้ร้องต้องใช้ดุลพินิจอนุญาตเสมอไป การที่ผู้ร้องไม่อนุญาตให้นายวิจิตรถอนคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งและยังคงดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไปว่ามีการกระทำตามคำร้องดังกล่าวหรือไม่แล้ววินิจฉัยชี้ขาดหรือมีมติเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมและดำเนินการจัด หรือจัดให้มีการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของนายวิจิตรแต่อย่างใด และกรณีหาได้มีปัญหาว่าเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช พ.ศ.2550 ดังที่ผู้คัดค้านทั้งสองอ้างไม่ ทั้งในทางปฏิบัติที่ผ่านมาผู้ร้องก็เคยไม่อนุญาตให้ถอนคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งมาแล้ว มิใช่เพิ่งมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ถอนคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งเฉพาะกรณีของนายวิจิตร การที่ผู้ร้องไม่อนุญาตให้นายวิจิตรถอนคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งจึงไม่เป็นการเลือกปฏิบัติดังที่ผู้คัดค้านทั้งสองอ้าง ส่วนการยื่นคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งของนายวิจิตรจะทำให้นายวิจิตรต้องรับผิดในทางกฎหมายต่อผู้คัดค้านทั้งสองหรือไม่อย่างไรเป็นเรื่องระหว่างนายวิจิตรกับผู้คัดค้านทั้งสองที่จะต้องไปว่ากล่าวกันอีกส่วนหนึ่งต่างหาก หาใช่เรื่องที่ผู้ร้องจะต้องนำมาพิจารณาในชั้นนี้ไม่ การที่ผู้ร้องไม่อนุญาตให้นายวิจิตรถอนคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งจึงชอบแล้ว คำคัดค้านของผู้คัดค้านทั้งสองในประเด็นข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยข้อต่อไปมีว่า กระบวนการสืบสวนสอบสวนและการวินิจฉัยชี้ขาดเรื่องคัดค้านการเลือกตั้งของผู้ร้องชอบหรือไม่ เห็นว่า แม้การสืบสวนสอบสวนคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งที่ดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสันติบาลซึ่งผู้ร้องมีเพียงมติแต่งตั้งให้เป็นกรรมการสืบสวนสอบสวนโดยยังมิได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นคณะกรรมการสืบสวนตามมติดังกล่าวดังที่ผู้คัดค้านทั้งสองกล่าวอ้างจะชอบด้วยระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการสืบสวนสอบสวนและการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ.2550 หรือไม่ก็ตาม เมื่อปรากฏว่าต่อมาผู้ร้องได้มีมติและคำสั่ง กกต. ที่ 8/2551 และ 25/2551 ตามลำดับ แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนชุดใหม่โดยมีนายสุวิทย์เป็นประธานกรรมการเพื่อทำการสืบสวนสอบสวนคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งดังกล่าว และในการสืบสวนสอบสวนของคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนชุดใหม่นี้ได้เรียกพยานที่เคยให้การหรือให้ปากคำต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสันติบาลมาสอบโดยให้พยานแต่ละคนอ่านบันทึกถ้อยคำของตนตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจสันติบาลได้ทำการสอบปากคำและบันทึกไว้ ปรากฏว่าพยานบางปากยังคงยืนยันที่จะให้การเช่นเดิม บางปากมีการสอบคำให้การเพิ่มเติม และบางปากขอให้การใหม่พร้อมกับทำบันทึกถ้อยคำมามอบให้แทนการให้ถ้อยคำด้วยวาจา ซึ่งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนก็ได้ทำบันทึกถ้อยคำเพิ่มเติมและให้พยานลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน กรณีดังกล่าวถือได้ว่าคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนได้ทำการสืบสวนสอบสวนตามระเบียบแล้วหาจำต้องสอบปากคำพยานและทำบันทึกถ้อยคำของพยานใหม่ทั้งหมดดังที่ผู้คัดค้านทั้งสองอ้างไม่ สำหรับระยะเวลาในการสืบสวนสอบสวนเนื่องจากระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการสืบสวนสอบสวนและการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ.2550 ข้อ 45 ได้กำหนดกรอบเวลาให้คณะกรรมการสืบสวนสอบสวนต้องทำการสืบสวนสอบสวนและสรุปสำนวนให้แล้วเสร็จภายใน 10 วันนับแต่วันที่ได้สั่งรับเป็นเรื่องคัดค้าน หากดำเนินการไม่แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนดก็ให้ขอขยายระยะเวลาทำการสืบสวนออกไปได้โดยแสดงเหตุผลความจำเป็น ข้อเท็จจริงได้ความว่าคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนได้ทำการสืบสวนสอบสวนโดยมีการแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้คัดค้านทั้งสองทราบ ผู้คัดค้านทั้งสองได้มาให้ปากคำต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนและทำหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาตลอดจนนำเสนอพยานหลักฐานแก้ข้อกล่าวหาโดยไม่ปรากฏว่าไม่ให้โอกาสผู้คัดค้านทั้งสองในการนำเสนอพยานหลักฐานแต่ประการใดคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนได้ทำการสอบพยานฝ่ายนายวิจิตร 19 ปาก พยานฝ่ายผู้คัดค้านทั้งสอง 24 ปาก อีกทั้งให้โอกาสผู้คัดค้านที่ 1 ได้ตรวจสอบแผ่นซีดีที่นายวิจิตรผู้คัดค้านการเลือกตั้งอ้างส่งประกอบการคัดค้านการเลือกตั้งอีกด้วย และคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนได้ขอขยายระยะเวลาในการสืบสวนสอบสวนถึง 2 ครั้ง เนื่องจากไม่สามารถสรุปสำนวนให้แล้วเสร็จภายใน 10 วัน กรณีเห็นได้ว่าคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนได้ให้โอกาสผู้คัดค้านทั้งสองได้แก้ข้อกล่าวหาและเสนอพยานหลักฐานเพื่อแก้ข้อกล่าวหาอย่างเต็มที่แล้ว มิได้ทำการสืบสวนสอบสวนอย่างรีบเร่งโดยไม่สุจริตและผิดปกติวิสัยแต่อย่างใด กระบวนการสืบสวนสอบสวนของคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนชุดดังกล่าวจึงชอบแล้ว ส่วนข้อที่ผู้คัดค้าน ทั้งสองอ้างว่า การที่ผู้ร้องออกคำสั่ง กกต. ที่ 25/2551 ได้คณะกรรมการสืบสวนสอบสวนรายงานผลการสืบสวนสอบสวนต่อผู้ร้องโดยตรง ไม่ให้มีการทำความเห็นประกอบสำนวนการสืบสวนสอบสวนตามขั้นตอนนั้นตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการสืบสวนและการวินิจฉัยชี้ขาด พ.ศ.2550 ข้อ 59 ได้วางข้อกำหนดไว้ว่า
“เมื่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานเสร็จแล้วให้ทำรายงานการสืบสวนสอบสวนตามแบบที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด โดยสรุปข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานพร้อมทั้งความเห็นประกอบสำนวนการสืบสวนสอบสวนเสนอต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดหรือเลขาธิการ แล้วแต่กรณี
เมื่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดได้รับสำนวนการสืบสวนสอบสวนตามวรรคหนึ่งแล้วให้มีความเห็นท้ายรายงานการสืบสวนสอบสวน แล้วเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเพื่อพิจารณาโดยเร็ว
เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดได้รับสำนวนการสืบสวนสอบสวนจากผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด ให้พิจารณาและจัดทำความเห็นโดยระบุข้อเท็จจริงและเหตุผลประกอบ แล้วเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งตามแบบที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดโดยเร็ว
ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดหรือคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดอาจสั่งให้คณะกรรมการสืบสวนสอบสวนดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติมก็ได้
ภายใต้บังคับข้อ 71 เมื่อเลขาธิการได้รับสำนวนการสืบสวนสอบสวนจากคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนตามวรรคหนึ่ง หรือได้รับสำนวนการสืบสวนสอบสวนตามวรรคสาม ให้เลขาธิการจัดทำความเห็นโดยระบุข้อเท็จจริงและเหตุผลประกอบ แล้วเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งโดยเร็ว ในกรณีที่เลขาธิการเห็นสมควรอาจทำการสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติมหรือแจ้งข้อกล่าวหา หรือขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดทำการสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติมหรือแจ้งข้อกล่าวหาก็ได้”
เห็นว่า ระเบียบข้อดังกล่าวเป็นเพียงการกำหนดขั้นตอนในการเสนอสำนวนการสืบสวนสอบสวนเพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องได้มีการพิจารณากลั่นกรองตามลำดับชั้นว่าสำนวนการสืบสวนสอบสวนที่คณะกรรมการสืบสวนสอบสวนทำมานั้นมีความสมบูรณ์ครบถ้วนหรือไม่ หากยังไม่สมบูรณ์ครบถ้วนก็อาจสั่งให้มีการสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติม หากสมบูรณ์ครบถ้วนแล้วก็เสนอสำนวนการสืบสวนสอบสวนพร้อมทำความเห็นให้ผู้ร้องได้พิจารณาวินิจฉัยในขั้นตอนสุดท้ายต่อไป ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความสะดวกแก่ผู้ร้องในการพิจารณาและวินิจฉัยชี้ขาด ดังนั้น แม้จะไม่มีการเสนอสำนวนการสืบสวนสอบสวนพร้อมความเห็นของผู้เกี่ยวข้องตามลำดับชั้นตามที่ระเบียบกำหนดไว้ดังที่ผู้คัดค้านทั้งสองอ้างก็ไม่มีผลทำให้สำนวนการสืบสวนสอบสวนที่คณะกรรมการสืบสวนสอบสวนดำเนินมาทั้งหมดต้องเสียไปหรือทำให้ข้อเท็จจริงในสำนวนการสืบสวนสอบสวนเปลี่ยนแปลงไป และไม่มีผลกระทบต่อการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดเรื่องคัดค้านการเลือกตั้งซึ่งเป็นอำนาจของผู้ร้องแต่อย่างใด ส่วนในการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดเรื่องดังกล่าวผู้ร้องจะรับฟังพยานหลักฐานในสำนวนการสืบสวนสอบสวนในส่วนไหนอย่างไรเป็นดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานซึ่งเป็นอำนาจของผู้ร้อง เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าผู้ร้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกสำนวนหรือฝ่าฝืนต่อพยานหลักฐานในสำนวนจึงถือไม่ได้ว่าผู้ร้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่สุจริต ไม่ถูกต้องหรือไม่เที่ยงธรรมแต่อย่างใด กระบวนการสืบสวนสอบสวนและการวินิจฉัยชี้ขาดของผู้ร้องชอบแล้ว คำคัดค้านของผู้คัดค้านทั้งสองในประเด็นข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยข้อต่อไปมีว่า มติคณะกรรมการการเลือกตั้งครั้งที่ 32/2551 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยผู้คัดค้านทั้งสองอ้างว่า มติดังกล่าวขัดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2550 เนื่องจากกรรมการการเลือกตั้ง 1 คน งดออกเสียง ผู้ร้องจึงนำมาเป็นเหตุยื่นคำร้องคดีนี้ไม่ได้นั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.2550 มาตรา 8 วรรคสอง บัญญัติว่า “การลงมติในการประชุมของคณะกรรมการการเลือกตั้งให้ใช้คะแนนเสียงข้างมาก …โดยประธานในที่ประชุมและกรรมการการเลือกตั้งที่มาประชุมต้องลงคะแนนเสียงเพื่อมีมติ…” บทกฎหมายดังกล่าวบังคับให้กรรมการการเลือกตั้งที่เข้าร่วมประชุมต้องลงคะแนนเสียงเพื่อมีมติทุกคน จะงดออกเสียงหรือไม่ยอมลงมติหาได้ไม่ และในการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องคัดค้านการเลือกตั้งกฎหมายก็มิได้บังคับว่าหากมีการเสนอสำนวนการสืบสวนสอบสวนให้ผู้ร้องพิจารณาแล้วกรรมการการเลือกตั้งจะต้องลงความเห็นหรือมีมติแต่เพียงว่าต้องยกคำร้องหรือให้มีการเลือกตั้งใหม่หรือต้องเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเท่านั้น จะลงมติหรือมีความเห็นเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ดังนั้น หากกรรมการการเลือกตั้งเห็นว่าสำนวนการสืบสวนสอบสวนที่เสนอมาให้พิจารณายังไม่สมบูรณ์ครบถ้วน จำเป็นต้องสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติมในบางเรื่องบางประเด็นกรรมการการเลือกตั้งก็ย่อมลงความเห็นให้มีการสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติมได้ ซึ่งการลงความเห็นดังกล่าวถือว่าเป็นการลงมติอย่างหนึ่งเช่นกัน เพราะการลงมติหมายถึงการลงความเห็นร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายไว้ ในการประชุมของผู้ร้องเพื่อลงมติครั้งที่ 32/2551 ว่าผู้คัดค้านทั้งสองกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามที่มีการร้องคัดค้านหรือไม่นั้น ได้ความว่ามีกรรมการการเลือกตั้งเข้าร่วมประชุมครบ 5 คน คือนายอภิชาต นายประพันธ์ นายสุเมธ นางสดศรี และนายสมชัย กรรมการดังกล่าวพิจารณาความเห็นของคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนและพยานหลักฐานต่าง ๆ ในสำนวนการสืบสวนสอบสวนแล้วปรากฏว่านายอภิชาต นายประพันธ์ และนายสุเมธ มีความเห็นว่าผู้คัดค้านที่ 1 กระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 และการกระทำของผู้คัดค้านที่ 1 เป็นเหตุให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย เขตเลือกตั้งที่ 3 ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้คัดค้านที่ 2 มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม เห็นควรเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านที่ 1 และให้ดำเนินคดีอาญาแก่ผู้คัดค้านที่ 1 ตามมาตรา 53 ประกอบมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 กับให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงรายเขตเลือกตั้งที่ 3 ใหม่จำนวน 1 คน แทนผู้คัดค้านที่ 2 นายสมชัยมีความเห็นว่าการกระทำของ ผู้คัดค้านที่ 1 ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 53 แต่ให้ดำเนินคดีอาญาแก่ผู้คัดค้านที่ 1 ฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ส่วนนางสดศรีมีความเห็นโดยทำเครื่องหมายในแบบพิมพ์มติคณะกรรมการการเลือกตั้งในช่อง สืบสวนสอบสวน / ไต่สวนเพิ่มเติมตามระเบียบฯ และบันทึกต่อท้ายข้อความดังกล่าวว่าให้สอบสวนเพิ่มเติมโดยให้รวมพิจารณากับเรื่องคัดค้านการเลือกตั้งกรณีพลเอกสมเจตน์ร้องคัดค้าน และให้นำเรื่องเอกสารลับมารวมพิจารณาด้วย เห็นว่า การที่นางสดศรีมีความเห็นเช่นนี้ถือว่าได้ลงมติในเรื่องดังกล่าวแล้ว ซึ่งมีผลเท่ากับว่าผู้คัดค้านที่ 1 มิได้กระทำการฝ่าฝืนต่อกฎหมายตามที่ถูกกล่าวหาและการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 3 จังหวัดเชียงรายมิได้เป็นไปโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม มิใช่นางสดศรีงดออกเสียงหรือไม่ให้ความเห็นแต่อย่างใด มติของผู้ร้องครั้งที่ 32/2551 จึงมิได้ขัดต่อกฎหมาย คำคัดค้านของผู้คัดค้านทั้งสองในประเด็นข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยข้อต่อไปมีว่า ผู้คัดค้านที่ 1 กระทำการตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ เห็นว่า แม้ตามเอกสารหมาย ค.9 จะปรากฏว่านายชัยวัฒน์เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคการเมืองคู่แข่งกับพรรคพลังประชาชนก็ตาม แต่นายชัยวัฒน์ก็โต้แย้งปฏิเสธว่าตนมิได้เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์และยืนยันว่าตนเป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชน ส่วนคำเบิกความของนายชัยวัฒน์เกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวแม้จะแตกต่างจากกำนันคนอื่นๆ ก็ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟัง คำเบิกความของนายชัยวัฒน์จะมีน้ำหนักน่าเชื่อถือหรือไม่เพียงใดขึ้นอยู่กับความมีเหตุมีผลของคำเบิกความซึ่งศาลต้องพิจารณาประกอบกับพฤติการณ์อื่นทั้งปวงในคดี การรับฟังพยานหลักฐานหาใช่ขึ้นอยู่กับจำนวนพยานหลักฐานว่าฝ่ายใดมีมากน้อยกว่ากันไม่ สำหรับเรื่องที่กลุ่มกำนันคนอื่นๆ อ้างว่าเดินทางไปพบกับผู้คัดค้านที่ 1 ตามคำชักชวนของนายชัยวัฒน์โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้คัดค้านที่ 1 ช่วยติดตามทวงหนี้จากนายชูชาติ มิได้มีจุดมุ่งหมายที่จะพูดคุยเรื่องการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น หากข้อเท็จจริงเป็นดังที่กลุ่มกำนันอ้างก็น่าจะมีการชักชวนนายอุดม กำนันตำบลท่าข้าวเปลือกซึ่งอยู่ในอำเภอแม่จันให้ร่วมเดินทางไปติดตามทวงหนี้ในครั้งนี้ด้วย เพราะนายชูชาติก็ค้างชำระหนี้นายอุดมเกี่ยวกับค่าขุดลอกคูคลองเช่นเดียวกับกำนันคนอื่น ๆ การที่นายอุดมไม่ได้ถูกชักชวนไปพบผู้คัดค้านที่ 1 จึงอาจเป็นเพราะนายอุดมเป็นพี่ชายสิบตำรวจตรีชมชาติผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขต จังหวัดเชียงราย พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ดังที่นายอุดมให้การต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนนอกจากนี้ยังได้ความด้วยว่านายชูชาติค้างชำระหนี้กลุ่มกำนันมาตั้งแต่ปี 2548 แต่ไม่ปรากฏว่ามีเหตุผลจำเป็นเร่งด่วนประการใดที่กลุ่มกำนันทั้ง 10 ตำบลในอำเภอแม่จันจึงต้องรีบเดินทางไปพบผู้คัดค้านที่ 1 ที่กรุงเทพมหานครเพียงเพื่อให้ช่วยติดตามทวงถามหนี้ให้ในช่วงที่จะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ยิ่งกว่านั้นภาพและเสียงที่ปรากฏตามแผ่นซีดีหมาย ร.8 ก็ปรากฏว่ากลุ่มกำนันรวม 8 คน ยกเว้นนายชดและนายดวงแสงซึ่งมิได้ไปให้การในครั้งนั้นต่างให้การต่อพันตำรวจเอกสุวรรณด้วยความสมัครใจว่านายบรรจงนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลจันจว้า อำเภอแม่จันเป็นผู้ติดต่อประสานงานให้กลุ่มกำนันไปพบผู้คัดค้านที่ 1 และเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ และยอมรับว่านายบรรจงนำเงินมาให้กำนันคนละ 20,000 บาท โดยบอกว่าให้เอาไปเที่ยวกัน สอดคล้องกับที่นายชัยวัฒน์เบิกความอีกทั้งนายบรรจงก็ยอมรับว่าในวันเกิดเหตุได้เดินทางไปที่โรงแรมเอส ซี ปาร์ค ซึ่งเป็นสถานที่ที่กลุ่มกำนันได้พบกับผู้คัดค้านที่ 1 จริง เพียงแต่อ้างว่าตนเองไม่ได้พบกับผู้คัดค้านที่ 1 และไม่มีส่วนรู้เห็นในการที่กลุ่มกำนันเดินทางไปพบผู้คัดค้านที่ 1 โดยในวันดังกล่าวตนเองพบกับกลุ่มกำนันที่สนามบินจังหวัดเชียงรายโดยบังเอิญเนื่องจากตนจะเดินทางจากจังหวัดเชียงรายไปปรึกษาปัญหาสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับสารพิษตกค้างในอำเภอแม่จันกับผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่กรุงเทพมหานคร และเมื่อทราบว่ากลุ่มกำนันจะเดินทางไปพบผู้คัดค้านที่ 1 ที่กรุงเทพมหานครจึงได้เดินทางไปพบผู้คัดค้านที่ 1 กับกลุ่มกำนันด้วย แม้นายบรรจงจะมีหลักฐานมาแสดงว่าในวันที่ 28 ตุลาคม 2550 นายบรรจงเดินทางไปปรึกษาปัญหาสิ่งแวดล้อมแต่ก็มิใช่ข้อที่ยืนยันว่านายบรรจงจะมิได้มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการเดินทางของกลุ่มกำนันดังกล่าว เมื่อพิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่ว่านายบรรจงได้เดินทางจากจังหวัดเชียงรายโดยสายการบินเที่ยวเดียวกับกลุ่มกำนัน เมื่อไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิก็เดินทางไปที่ทำการพรรคพลังประชาชนและโรงแรมเอส ซี ปาร์ค พร้อมกับกลุ่มกำนันและนอนพักที่โรงแรมดังกล่าวเช่นเดียวกับกลุ่มกำนัน เช้าวันรุ่งขึ้นก็เดินทางไปสนามบินดอนเมืองตลอดจนโดยสารเครื่องบินกลับจังหวัดเชียงรายเที่ยวเดียวกับกลุ่มกำนัน พฤติการณ์ของนายบรรจงที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเดินทางของกลุ่มกำนันดังกล่าวไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ และไม่น่าเชื่อว่านายบรรจงจะไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว ประกอบกับได้ความจากผู้คัดค้านที่ 1 ว่า หลังเกิดเหตุรัฐประหารในประเทศไทยเมื่อปี 2549 ผู้คัดค้านที่ 1 ได้เดินทางไปอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในปีดังกล่าวและกลับมาประเทศไทยเมื่อปลายเดือนกันยายน 2550 เนื่องจากได้รับคำเชิญชวนให้มาทำงานการเมืองในนามพรรคพลังประชาชน และระหว่างอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาคัดค้านที่ 1 และที่ 2 จะสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในนามพรรคพลังประชาชนในเขตจังหวัดเชียงราย จึงต้องมีการตระเตรียมการเลือกตั้งซึ่งต้องได้รับความช่วยเหลือจากคนในพื้นที่ การที่กลุ่มกำนันในอำเภอแม่จันรวม 10 คน ยกเว้นนายอุดมซึ่งเป็นพี่ชายสิบตำรวจตรีชมชาติสมาชิกพรรครวมใจไทยชาติพัฒนาเดินทางไปพบผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นผู้บริหารพรรคพลังประชาชนที่กรุงเทพมหานคร ในวันที่ 28 ตุลาคม 2550 อันเป็นเวลาภายหลังจากมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ.2550 ใช้บังคับแล้วและเป็นช่วงเวลาที่ผู้คัดค้านที่ 1 เพิ่งเดินทางกลับจากประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อมาทำงานการเมืองในนามพรรคพลังประชาชนจึงมีเหตุให้เชื่อได้ว่ากลุ่มกำนันไปพบผู้คัดค้านที่ 1 ตามคำเชื้อเชิญของผู้คัดค้านที่ 1 โดยมีจุดประสงค์เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดเชียงราย โดยขอให้กลุ่มกำนันซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลูกบ้านช่วยเหลือพรรคพลังประชาชนซึ่งผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้บริหารพรรค และช่วยเหลือสมาชิกพรรคพลังประชาชนที่จะสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดเชียงราย ซึ่งรวมถึงผู้คัดค้านที่ 2 ด้วย และการที่กลุ่มกำนันเดินทางไปพบผู้คัดค้านที่ 1 เพื่อประโยชน์ในการเลือกตั้งของพรรคพลังประชาชนในครั้งนี้เชื่อได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 จะต้องมีการให้เงินแก่กลุ่มกำนันเป็นการตอบแทน พฤติการณ์แห่งคดีดังที่ได้วินิจฉัยมาดังกล่าวมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 ได้ให้เงินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่กลุ่มกำนันในอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย เพื่อจูงใจให้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งแก่พรรคพลังประชาชนและผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย สังกัดพรรคพลังประชาชน ตามคำร้องของผู้ร้องและแม้จะไม่ปรากฏหลักฐานว่าหลังจากกลุ่มกำนันได้พบกับผู้คัดค้านที่ 1 แล้ว กลุ่มกำนันได้ไปเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง หรือมีพฤติการณ์ช่วยเหลือในการหาเสียง หรือลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 หรือผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคพลังประชาชนก็ตาม แต่การที่ผู้คัดค้านที่ 1 เรียกกลุ่มกำนันในพื้นที่อำเภอแม่จันถึง 10 ตำบล ไปพบเพื่อพูดคุยเรื่องการเลือกตั้งที่กรุงเทพมหานครนั้น ผู้คัดค้านที่ 1 ย่อมเล็งเห็นแล้วว่ากลุ่มกำนันซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและเป็นผู้นำหมู่บ้านที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลูกบ้านสามารถใช้ตำแหน่งหน้าที่เอื้อประโยชน์แก่พรรคพลังประชาชนและสมาชิกพรรคที่จะสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้โดยการไปชักจูงให้ลูกบ้านช่วยเหลือสนับสนุนพรรคพลังประชาชน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันที่ 28 ตุลาคม 2550 จึงเชื่อได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง หาใช่เป็นการจัดฉากสร้างสถานการณ์เพื่อกลั่นแกล้งผู้คัดค้านที่ 1 และพรรคพลังประชาชนดังที่ผู้คัดค้านที่ 1 อ้างไม่ ส่วนที่ผู้คัดค้านที่ 1 อ้างว่า การกระทำของผู้คัดค้านที่ 1 ดังกล่าวไม่ต้องด้วยมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 เนื่องจากขณะที่มีการกระทำดังกล่าวผู้คัดค้านที่ 1 ยังไม่มีฐานะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น เห็นว่า มาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้แก่ตนเอง หรือผู้สมัครอื่น หรือพรรคการเมืองใด หรือให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้
(1) จัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใด
อันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด…”
บทบัญญัติดังกล่าวแม้อยู่ในส่วนที่ 6 ซึ่งว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งและวิธีการหาเสียงเลือกตั้ง แต่ก็เป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวกับวิธีการหาเสียงเลือกตั้งซึ่งกฎหมายห้ามมิให้การทำการต่างๆ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้เนื่องจากเป็นการกระทำที่ส่งผลให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และบุคคลที่กฎหมายห้ามมีทั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งและผู้ที่มิใช่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง สำหรับผู้สมัครรับเลือกตั้งตามบทบัญญัติดังกล่าวมิได้หมายความแต่เพียงว่าผู้นั้นได้กระทำการอันฝ่าฝืนที่กฎหมายกำหนดในขณะที่ตนเองมีฐานะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งแล้วเท่านั้น แม้ในขณะที่กระทำการดังกล่าวผู้ร้องยังมิได้มีการประกาศสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือมีการประกาศสมัครรับเลือกตั้งแล้วแต่ผู้นั้นยังมิได้สมัครรับเลือกตั้งก็ตาม หากการที่กระทำไปได้กระทำภายหลังจากที่มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้วและต่อมาผู้นั้นได้สมัครรับเลือกตั้งก็ถือได้ว่าการที่กระทำไปก่อนหน้านี้ซึ่งมีผลทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมในที่สุดแล้วก็เป็นการกระทำของผู้สมัครรับเลือกตั้งนั่นเอง นอกจากนี้บทบัญญัติดังกล่าวมิได้ห้ามเฉพาะผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งเท่านั้น ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วนก็ถูกห้ามด้วยเพราะการกระทำของผู้สมัครรับเลือกตั้งไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ตามหากเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์แก่ผู้สมัครผู้ใดผู้หนึ่ง หรือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแล้วก็ย่อมมีผลทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมเช่นเดียวกัน ดังนั้น แม้ผู้คัดค้านที่ 1 ได้กระทำการตามที่ถูกกล่าวหาก่อนที่จะมีการประกาศสมัครรับเลือกตั้งก็ตาม แต่ต่อมาผู้คัดค้านที่ 1 ก็ได้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน กลุ่มจังหวัดที่ 1 พรรคพลังประชาชน การกระทำของผู้คัดค้านที่ 1 จึงถือว่าเป็นการกระทำของผู้สมัครรับเลือกตั้งอันต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คำคัดค้านของผู้คัดค้านที่ 1 ในประเด็นข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยข้อต่อไปมีว่า การเลือกตั้งในส่วนของผู้คัดค้านที่ 2 เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมหรือไม่ และต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่หรือไม่ เห็นว่า แม้ขณะที่กลุ่มกำนันไปพบผู้คัดค้านที่ 1 นั้น ผู้คัดค้านที่ 2 จะยังมิได้เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งก็ตาม แต่การที่ผู้คัดค้านที่ 1 เรียกให้กลุ่มกำนันไปพบและขอให้กลุ่มกำนันช่วยเหลือผู้คัดค้านที่ 2 ดังกล่าวเป็นการแจ้งให้กลุ่มกำนันทราบล่วงหน้าว่าผู้คัดค้านที่ 2 จะสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการขอความช่วยเหลือดังกล่าวย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าเป็นการขอให้กลุ่มกำนันช่วยเหลือสนับสนุนเมื่อผู้คัดค้านที่ 2 สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั่นเอง เมื่อปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 กระทำการตามที่ถูกกล่าวหาแล้วแม้ผู้คัดค้านที่ 2 จะมิได้รู้เห็นเป็นใจหรือสนับสนุนให้ผู้คัดค้านที่ 1 กระทำการดังกล่าวก็ตาม แต่การกระทำของผู้คัดค้านที่ 1 ดังกล่าวย่อมเป็นการเอื้อเพื่อประโยชน์ให้แก่พรรคพลังประชาชนและผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในนามพรรคพลังประชาชนโดยตรงอันมีผลทำให้การเลือกตั้งในส่วนของผู้คัดค้านที่ 2 มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และแม้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้ผู้คัดค้านที่ 2 ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสมาผู้แทนราษฎรโดยได้คะแนนเสียงมาเป็นอันดับที่ 1 มากกว่าผู้สมัครพรรคการเมืองคู่แข่งถึง 13,469 คะแนนก็ตาม แต่เมื่อการเลือกตั้งในส่วนของผู้คัดค้านที่ 2 มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมเสียแล้ว ผู้คัดค้านที่ 2 ก็ไม่อาจถือเอาคะแนนเสียงที่ได้รับมาเป็นข้ออ้างเพื่อมิให้มีการเลือกตั้งใหม่ได้ คำคัดค้านของผู้คัดค้านที่ 2 ในประเด็นข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าผู้คัดค้านที่ 1 ได้กระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 53 และการกระทำดังกล่าวมีผลทำให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดเชียงรายมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมตามคำร้องของผู้ร้องดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น กรณีจึงต้องเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้คัดค้านที่ 1 และให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงราย เขตเลือกตั้งที่ 3 จำนวน 1 คน ใหม่แทนผู้คัดค้านที่ 2 ตามบทบัญญัติมาตรา 111 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550
จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายยงยุทธผู้คัดค้านที่ 1 มีกำหนดเวลา 5 ปี นับแต่วันที่มีคำสั่ง และให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดเชียงราย เขตเลือกตั้งที่ 3 ใหม่ จำนวน 1 คน แทนนางสาวละอองผู้คัดค้านที่ 2 .

Share