แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงนอกฟ้องและคำให้การไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. ทั้งมิได้นั่งพิจารณาให้ครบองค์คณะไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมีคำขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี หากศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาคดีใหม่ ย่อมมีผลให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นอันถูกยกเลิกเพิกถอนไป ทำให้จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นถือว่าเป็นอุทธรณ์ที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามจำนวนเงินที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับผิด จำเลยจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ตามจำนวนทุนทรัพย์ดังกล่าว การที่จำเลยอุทธรณ์โดยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพียง 200 บาท อย่างคดีมีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงไม่ถูกต้อง เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มและจำเลยได้ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นโดยชอบแล้ว แต่ไม่ยอมชำระภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด เป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมากจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 195,588 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีโดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิ่มเติมว่าจำเลยทั้งสองยังชำระค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ไม่ครบถ้วนและถูกต้อง จึงให้จำเลยทั้งสองชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้ครบถ้วนภายในกำหนด 5 วัน มิฉะนั้นให้ถือว่าจำเลยทั้งสองทิ้งฟ้องอุทธรณ์
จำเลยทั้งสองทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้วมิได้ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มตามกำหนดแต่ได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นอ้างว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ผิดหลงและไม่มีอำนาจที่จะสั่งได้ ขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว หากไม่เพิกถอน ขอถือเอาคำร้องดังกล่าวเป็นการโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยทั้งสองทิ้งฟ้องอุทธรณ์ จึงรวบรวมสำนวนส่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 เพื่อพิจารณาสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลอุทธรณ์ภาค 3
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความชอบหรือไม่ เห็นว่า ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 195,588 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้ร่วมกันรับผิดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงนอกฟ้องและคำให้การ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ทั้งมิได้นั่งพิจารณาให้ครบองค์คณะไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทยและมีคำขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี หากศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามคำขอของจำเลยทั้งสองย่อมมีผลให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่โจทก์เป็นอันถูกยกเลิกเพิกถอนไป ทำให้จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ถือว่าเป็นอุทธรณ์ที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามจำนวนเงินที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ตามจำนวนทุนทรัพย์ดังกล่าว การที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์โดยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพียง 200 บาท อย่างคดีมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงไม่ถูกต้อง เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสองชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มให้ครบถ้วนภายใน 5 วัน และจำเลยได้ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นโดยชอบแล้ว แต่เพิกเฉยไม่ยอมชำระ กรณีถือได้ว่าจำเลยเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด เป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246 คำพิพากษาฎีกาที่จำเลยทั้งสองอ้างข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น แต่ศาลอุทธรณ์มิได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ เห็นสมควรแก้ไขโดยสั่งในชั้นนี้ให้ถูกต้อง”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ.