คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5005/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

น. นำรถยนต์มาจอดไว้ในบริเวณลานจอดรถของโรงแรมจำเลย และรถยนต์ได้หายไป จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 674 แม้ น. จะมิได้แจ้งให้พนักงานของจำเลยทราบว่าได้นำรถยนต์มาจอดไว้ก็ตาม แต่เมื่อ น. ทราบแน่ชัดว่ารถยนต์หายไปก็ได้แจ้งแก่ ว. ผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมจำเลยทราบในทันที ทั้ง น. ได้แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนถือได้ว่าเป็นการแจ้งเหตุแก่จำเลยผู้เป็นเจ้าสำนักโรงแรมทราบทันทีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 676 แล้ว ส่วนที่ใบกรอกรายละเอียด ชื่อ ที่อยู่ของผู้เข้าพักโรงแรมจำเลย ในตอนท้ายมีข้อความพิมพ์ไว้ว่า “โรงแรมจะไม่รับผิดชอบในทรัพย์สิน สิ่งมีค่าหรือธนบัตรซึ่งอาจเกิดสูญหาย…” อันเป็นการยกเว้นความรับผิดของจำเลย และเป็นเอกสารที่จำเลยทำขึ้นฝ่ายเดียว ไม่ปรากฏว่า น. ได้ตกลงด้วยชัดแจ้งในการยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดของจำเลยดังกล่าว ข้อความเช่นนี้จึงเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 677 จำเลยจึงยังคงไม่หลุดพ้นจากความรับผิด เมื่อโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปตามสัญญาประกันภัยแล้วย่อมได้รับช่วงสิทธิมาเรียกร้องเอาจากจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ยี่ห้อนิสสัน หมายเลขทะเบียนบ – 6246 พิษณุโลก นายนิติ วิทยผโลทัย เป็นผู้เอาประกันภัย ถ้ารถคันดังกล่าวสูญหายโดยถูกคนร้ายลักไป โจทก์จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือในนามผู้เอาประกันภัยเป็นเงิน 200,000 บาท จำเลยเป็นบริษัทจำกัด ประกอบกิจการโรงแรมเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2536 นายนิติเข้าพักที่โรงแรมจำเลยและจอดรถคันที่เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ในบริเวณลานจอดรถของโรงแรมจำเลย นายนิติพักแรมที่โรงแรมจำเลยเรื่อยมาจนถึงวันที่ 12 มิถุนายน 2536 จึงทราบว่ารถคันที่เอาประกันภัยไว้กับโจทก์สูญหาย ขณะที่เข้าพักแรมในโรงแรมจำเลยเป็นเจ้าสำนักโรงแรมต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายนิติ นายนิติ เช่าซื้อรถคันที่เอาประกันภัยมาจากบริษัทสยามกลการ จำกัด โจทก์ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัทสยามกลการจำกัด ตามความยินยอมของนายนิติเป็นเงิน200,000 บาท โจทก์จึงเข้ารับช่วงสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน 200,000 บาท จากจำเลย โจทก์ทวงถามแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในเงินต้นดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า รถยนต์สูญหายเกิดจากความผิดของนายนิติ นายนิติเข้ามาพักที่โรงแรมจำเลยโดยมิได้แจ้งต่อจำเลยและพนักงานของจำเลยว่านำรถยนต์มาด้วยทั้งเมื่อพบว่ารถยนต์คันดังกล่าวสูญหายก็มิได้แจ้งต่อจำเลยหรือพนักงานของจำเลยทันทีนายนิติได้ตกลงด้วยวาจากับจำเลยโดยแจ้งชัดว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดในทรัพย์สินสิ่งมีค่าที่อาจเกิดการสูญหาย นายนิติไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ราคารถยนต์คันดังกล่าวโจทก์จึงไม่อาจรับช่วงสิทธิจากนายนิติมาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2536นายนิติ วิทยผโลทัย เข้าพักในโรงแรมจำเลย ต่อมาวันที่ 12 มิถุนายน 2536 เวลา 16 นาฬิกา นายนิติแจ้งแก่นายวัชระ เกียรติญาณะ ผู้จัดการทั่วไปของจำเลยว่ารถยนต์ที่นายนิตินำมาจอดไว้บริเวณลานจอดรถของโรงแรมจำเลยหายไป…

ประเด็นวินิจฉัยข้อสุดท้ายมีว่า จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ พิจารณาแล้วประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 674 บัญญัติว่า “เจ้าสำนักโรงแรมหรือโฮเต็ลหรือสถานีอื่นทำนองเช่นว่านั้นจะต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆอันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัย หากได้พามา” เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายนิตินำรถยนต์คันเกิดเหตุมาจอดไว้ในบริเวณลานจอดรถของโรงแรมจำเลย และรถยนต์คันดังกล่าวได้หายไป จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดเพราะเมื่อนายนิตินำรถมาจอดแล้วมิได้แจ้งให้พนักงานของจำเลยทราบก็ดี นายนิติลงลายมือชื่อรับทราบข้อจำกัดความรับผิดของจำเลยในเอกสารหมาย จ.5 ก็ดี ทั้งเมื่อรถยนต์หายไป นายนิติมิได้แจ้งให้จำเลยทราบในทันทีก็ดี ศาลฎีกาเห็นว่า แม้นายนิติจะมิได้แจ้งให้พนักงานของจำเลยทราบว่า ได้นำรถยนต์คันเกิดเหตุมาจอดไว้ในบริเวณลานจอดรถของโรงแรมจำเลยก็ตาม แต่เมื่อนายนิติทราบแน่ชัดว่ารถยนต์ของตนหายไป ก็ได้แจ้งแก่นายวัชระ เกียรติญาณะ ผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมจำเลยทราบในทันที ซึ่งนายวัชระ เกียรติญาณะ ก็ได้มาเบิกความเป็นพยานจำเลยเจือสม ทั้งนายนิติก็ได้ไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจเอกปณิธาน ไกรราช พนักงานสอบสวน โดยร้อยตำรวจเอกปณิธาน ไกรราช มาเบิกความเป็นพยานโจทก์สนับสนุนถือได้ว่าเป็นการแจ้งเหตแก่จำเลยผู้เป็นเจ้าสำนักโรงแรมทราบทันทีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 676 แล้ว ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1370/2526 ระหว่างนายหนู แซ่จิว โจทก์ นายสุจินต์ กอจิตวริช จำเลย ส่วนข้อจำกัดความรับผิดของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.5 นั้น เห็นว่า เอกสารหมาย จ.5 เป็นใบกรอกรายละเอียดชื่อ ที่อยู่ของผู้เข้าพักโรงแรมจำเลย ในตอนท้ายมีข้อความพิมพ์ไว้ว่า “โรงแรมจะไม่รับผิดชอบในทรัพย์สิน สิ่งมีค่าหรือธนบัตร ซึ่งอาจเกิดสูญหาย…” อันเป็นการยกเว้นความรับผิดของจำเลย และเป็นเอกสารที่จำเลยทำขึ้นฝ่ายเดียว ในทางนำสืบของจำเลยไม่ปรากฏว่านายนิติได้ตกลงด้วยชัดแจ้งในการยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดของจำเลยดังกล่าว ข้อความเช่นนี้จึงเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 677 จำเลยจึงยังคงไม่หลุดพ้นจากความรับผิด เมื่อโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปตามสัญญาประกันภัยแล้ว ย่อมได้รับช่วงสิทธิมาเรียกร้องเอาจากจำเลยได้ ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยคดีมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share