คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 50/2478

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ให้ทำสัญญาให้โดยขู่ว่าถ้าไม่ทำจะฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ดังนี้หาทำให้นิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆียะไม่
เอาดอกเบี้ยค้างชำระซึ่งเป็นส่วนที่เกินอัตราในกฎหมายมาทำเป็นสัญญาต้นเงินกู้สัญญานั้นย่อมตกเป็นโมฆะ
วิธีพิจารณาแพ่ง
พะยาน
น่าที่นำสืบ
สืบหักล้างเอกสารสัญญาขอนำสืบว่าสัญญากู้ที่ทำนั้นเป็นสัญญาฝ่าฝืนกฎหมายโดยเอาดอกเบี้ยที่ค้างชำระอันเกินอัตราในกฎหมายมาทำเป็นต้นเงินกู้ดังนี้ คู่ความย่อมนำสืบได้

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ไปรวม ๕ ครั้ง จึงขอให้บังคับจำเลยใช้ต้นเงินแลดอกเบี้ยรวม ๖๙๔๗ บาท ๙๓ สตางค์
จำเลยต่อสู้ว่าได้กู้เงินโจทก์ไปคราวเดียวเพียง ๑๐๐๐ บาท โดยคิดดอกเบี้ยชั่งละ ๔ บาทต่อเดือน จำเลยได้ชำระดอกเบี้ยให้แล้วชั่งละ ๑ บาทต่อเดือน ส่วนที่ค้างอยู่อีกชั่งละ ๓ บาทต่อเดือนนั้นโจทก์ได้ขู่เข็ญให้จำเลยทำต้นเงินกู้เป็นคราว ๆ บางคราวก็ทำสัญญาใหม่รวมกับต้นเงินด้วยฉะนั้นดอกเบี้ยที่เกินกำหนดกฎหมายที่ให้จำเลยทำเป็นต้นเงินกู้นั้นต้องนับว่าเป็นโมฆะ จึงขอชำระต้นเงินเพียง ๑๐๐ บาท
ศาลเดิมงดสืบพะยานแล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อที่จำเลยต่อสู้ว่าถูกโจทก์ข่มขู่ว่าถ้าไม่ยอมทำสัญญาให้จะต้องถูกฟ้องเรียกเงินกู้นั้น ตามประมวลแพ่ง ม.๑๒๗ หาทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะไม่ แลเห็นว่าตามประมวลแพ่ง ม.๖๕๔ ห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ ๑๕ ต่อปี ฉะนั้นถ้าหากว่าความเป็นจริงดังจำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ให้จำเลยทำสัญญากู้เงินในจำนวนเงินดอกเบี้ยที่ค้างชำระซึ่งเป็นดอกเบี้ยเกินกำหนดในกฎหมายแล้วก็นับว่าสัญญากู้เช่นนี้เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายย่อมตกเป็นโมฆะ แลคู่ความย่อมนำสืบถึงความข้อนี้ได้ เพราะเป็นการสืบหักล้างเอกสารสัญญา จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ที่สั่งให้ศาลเดิมสืบพะยานโจทก์จำเลยต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ

Share