แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การจำนำที่ดินกันก่อนใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ นั้น แม้พฤติการณ์จะฟังได้ว่าเป็นกิริยาขายฝาก แต่ปรากฏว่าคู่สัญญาจำนำกันได้ไม่ถึง 10 ปี แล้วได้มาทำจำนองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยถูกต้อง ขึ้นเงินกันอีกในขณะที่ประกาศใช้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 1,2,3 แล้ว ย่อมเป็นการจำนองตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ย่อยาว
เดิมนางปุ้ย จำเลยที่ 3 ได้ฟ้องนายเภา นางผิว จำเลยที่ 1 ที่ 2 ขอให้ศาลแสดงว่าโฉนดที่ 1601 เป็นของโจทก์ เพราะนายเพ็ง นายแป๊ะได้จำนำโจทก์ไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2468 โจทก์ได้ครอบครองต่างดอกเบี้ยมาเกิน 10 ปีแล้ว นางผิว นายเภา ต่อสู้คดีแล้วในที่สุดได้ทำสัญญาประนีประนอมกันให้ที่รายนี้เป็นของนางปุ้ย ๆ ให้เงิน 20,000 บาท กับผู้รับมรดกของนายเพ็ง นายแป๊ะ โจทก์ฟ้องคดีนี้เพื่อขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินรายนี้ เฉพาะส่วนของนายเพ็งกึ่งหนึ่งนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสอง ในฐานะส่วนตัวและรับการสละสิทธิ์จากนางอัมพร นางเปลี่ยน ขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความเสียให้จำเลยรับชำระหนี้ไถ่ถอนจำนำ
จำเลยที่ 1, 2 ให้การว่าโจทก์ทั้งสองมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งมรดกจริง แต่จำเลยที่ 1, 2 ถูกฟ้องคดีก่อนโดยลำพังและทำสัญญายอมความกับจำเลยที่ 3 แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับส่วนแบ่ง
จำเลยที่ 3 ให้การว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยผู้จำนำได้ให้จำเลยทำต่างดอกเบี้ยเกิน 10 ปีแล้ว
ต่อมานายสุดใจได้ยื่นคำร้องขอรับส่วนมรดกของนายแป๊ะจำเลยไม่ค้าน
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังต้องกันว่า นายเพ็งนายแป๊ะจำนำที่พิพาทแก่จำเลยที่ 3 และมอบที่พิพาทให้ทำต่างดอกเบี้ยเป็นเวลา26 ปี แล้ว และเป็นเวลาก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 1, 2, 3 พฤติการณ์อย่างนี้กฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนั้น ถือว่าเป็นกิริยาขายฝาก เมื่อผู้จำนำไม่ได้ไถ่ถอนใน 10 ปี ที่พิพาทย่อมหลุดเป็นสิทธิแก่จำเลยที่ 3 จึงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์และคำร้องสอดของนายสุดใจ
โจทก์และนายสุดใจฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าสัญญาจำนำเดิมก่อน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามพฤติการณ์ดังนั้น เรียกว่าเป็นการขายฝากจริง แต่ต่อจากจำนำกันมายังไม่ถึง 10 ปี ก็ได้ทำจำนองจดทะเบียนต่อหน้าเจ้าพนักงานทะเบียนที่ดินขึ้นเงินกันอีก ครั้งหลังนี้ทำกันในเวลาหลังจากใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว จึงเป็นการจำนอง หาใช่เป็นการจำนำมีพฤติการณ์เป็นการขายฝากไม่ เพราะสัญญาจำนองใหม่ได้ลบล้างหรือกลืนสัญญาจำนำเดิมเสียแล้ว โจทก์และผู้ร้องสอดเป็นทายาทของผู้จำนองมีสิทธิ ขอไถ่ที่พิพาทจากจำเลยที่ 3 ได้ สัญญาประนีประนอมระหว่างจำเลยที่ 1,2 และที่ 3 หาผูกมัดโจทก์ และผู้ร้องสอดไม่ จึงพิพากษากลับให้โจทก์และผู้ร้องสอดไถ่การจำนองที่พิพาทในส่วนที่เป็นของโจทก์และผู้ร้องสอด จากจำเลยที่ 3 ได้