แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายผลิต ส. ผู้จัดการโรงงานเรียกโจทก์มาพบแจ้งว่าจะย้ายโจทก์ ไปคุมงานด้านอื่น โจทก์ถามเหตุผลว่า “ทำได้แค่นี้เองหรือ นึกอยู่แล้วว่าจะทำอย่างนี้” ต่อมาโจทก์ได้พูดกับ พ. ผู้จัดการฝ่ายและเป็นผู้บังคับบัญชาโจทก์ที่ห้องของ พ. เรื่องที่จำเลยจะย้ายโจทก์ว่า “เลว เลวกว่าที่คิดไว้เสียอีก ตัวถ่วงความเจริญบริษัท หน้าหนากว่ากระจกแผ่นนี้” แล้วโจทก์ใช้มือทุบกระจกโต๊ะทำงาน ก่อนเดินออกจากห้องพูดว่า “เมื่อวันเสาร์นี้ไปไหนน่าจะให้ ม. ตบหน้าเสีย 1 ครั้ง” การกระทำดังกล่าวเป็นการเสียดสี สบประมาท และแสดงกิริยาก้าวร้าวต่อผู้บังคับบัญชา อันเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย แต่สาเหตุเนื่องจากโจทก์ถูกย้ายงานเพื่อมิให้เกิดการเผชิญหน้ากับ พ. ที่โจทก์ไม่นับถือและเคลือบแคลงใจ จึงไม่ถึงขนาดเป็นการปฏิบัติเลวทรามเพราะจงใจฝ่าฝืนศีลธรรมหรือ จารีตประเพณี ไม่เป็นการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และตามข้อบังคับมิได้กำหนดเป็นกรณีร้ายแรง แต่โจทก์กระทำการอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงต้องจ่ายค่าชดเชย แต่ไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะจ่ายเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เนื่องจากโจทก์ทำผิดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย เป็นกรณีร้ายแรงและประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน ๔๙,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๑) จนกว่าจะจ่ายเงินเสร็จแก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานพิเคราะห์แล้ว ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยมีว่า โจทก์ฝ่าฝืนระเบียบ ข้อบังคับของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรงหรือไม่ เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายผลิต เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๑ นายสุรเดช ทูนไธสง ผู้จัดการโรงงานมีคำสั่งโอนย้ายให้โจทก์ไปปฏิบัติหน้าที่ด้านควบคุมระบบบำบัดน้ำ นายสุรเดชเรียกโจทก์มาพบและแจ้งให้ทราบว่าจะย้ายโจทก์ไปคุมงาน ด้านอื่น โจทก์พูดกับนายสุรเดชซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาว่า “ทำได้แค่นี้เองหรือ นึกอยู่แล้วว่าจะทำอย่างนี้” ต่อมาโจทก์ ได้พูดคุยกับนางพรรณีหรือพรพรรณี วนธรรมสุจริต ผู้จัดการฝ่ายควบคุมคุณภาพและเป็นผู้บังคับบัญชาโจทก์ที่ห้องทำงานของนางพรพรรณีเรื่องที่จำเลยจะโยกย้ายโจทก์ดังกล่าว แล้วโจทก์ได้พูดกับนางพรพรรณีว่า “เลว เลวกว่าที่คิดไว้เสียอีก ตัวถ่วงความเจริญบริษัท หน้าหนากว่ากระจกแผ่นนี้” แล้วใช้มือทุบกระจกโต๊ะทำงานนางพรพรรณี ก่อนเดินออกจากห้อง ยังพูดกับนางพรพรรณีว่า “เมื่อวันเสาร์นี้ไปไหน น่าจะให้นางสาวมณฑาตบหน้าเสีย ๑ ครั้ง” จากข้อเท็จจริงดังกล่าว เห็นว่า ถ้อยคำที่โจทก์พูดต่อนายสุรเดชและนางพรพรรณีมีลักษณะเป็นการเสียดสีและสบประมาทผู้บังคับบัญชา ส่วนการใช้มือทุบโต๊ะทำงานนางพรพรรณีก็เป็นการแสดงกิริยาก้าวร้าวต่อผู้บังคับบัญชา การกระทำของโจทก์จึงเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย แต่การกระทำของโจทก์ดังกล่าวก็เนื่องจากโจทก์ถูกโยกย้ายงานเพื่อมิให้เกิดการเผชิญหน้ากับนางพรพรรณีที่โจทก์แสดงออกว่าโจทก์ไม่ยอมรับนับถือและเคลือบแคลงใจ การกระทำของโจทก์ยังไม่ถึงขนาดเป็นการปฏิบัติเลวทรามเพราะจงใจฝ่าฝืนศีลธรรมหรือจารีตประเพณี ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการ กระทำอันได้ชื่อว่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง?
พิพากษายืน .