คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6703/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล ตาม พ.ร.บ.การประปาส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2522 จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ว่าการของจำเลยที่ 1 มีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 3 ถึงที่ 7 เป็นคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโจทก์ กรณีโจทก์ถูกกล่าวหาว่าทุจริตในการเบิกค่าเช่าบ้าน ไม่ว่าการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยดังกล่าวจะชอบด้วยระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 1 หรือไม่ก็ตาม ตราบใดที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้สั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนยังมิได้ใช้อำนาจในฐานะนายจ้างมีคำสั่งอันเนื่องมาจากการสอบสวนตามคำสั่งดังกล่าวให้มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ เมื่อคณะกรรมการสอบสวนยังทำการสอบสวนไม่เสร็จ และจำเลยที่ 1 ยังมิได้มีความเห็นหรือมีมติว่าโจทก์มีความผิดและมีคำสั่งที่เป็นผลร้ายแก่โจทก์ จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยดังกล่าว
อุทธรณ์ที่มิได้โต้แย้งคำพิพากษาของศาลแรงงานถือว่าเป็นอุทธรณ์ที่มิได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้ง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่งประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31
พ.ร.บ. การประปาส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2522 มาตรา 23 บัญญัติว่า “ผู้ว่าการมีอำนาจ (1) บรรจุ แต่งตั้ง ถอดถอน เลื่อน ลด ตัดเงินเดือนหรือค่าจ้าง ลงโทษทางวินัยพนักงานและลูกจ้าง ตลอดจนให้พนักงานและลูกจ้างออกจากตำแหน่งตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด แต่ถ้าเป็นพนักงานหรือลูกจ้างชั้นที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ ผู้อำนวยการฝ่าย หรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าขึ้นไป จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการก่อน…” และข้อบังคับการประปาภูมิภาค ระบุว่า “ในกรณีที่ปรากฏว่าผู้ปฏิบัติงานผู้ใดถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวนหรือถูกฟ้องคดีอาญาหรือถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดอาญา เว้นแต่ความผิดลหุโทษ หรือความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ผู้ว่าการจะสั่งให้พักงานหรือสั่งให้ออกจากงานไว้ก่อนก็ได้…” เมื่อโจทก์ถูกกล่าวหาว่าทุจริตในการเบิกค่าเช่าบ้านซึ่งเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ว่าการของจำเลยที่ 1 ในขณะนั้นโดยความเห็นชอบจากคณะกรรมการการประปาส่วนภูมิภาค จึงมีอำนาจสั่งให้พักงานโจทก์ไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลการสอบสวนทางวินัยได้ตามบทบัญญัติของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ 1 จะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยแก่โจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ก็ไม่มีผลกระทบต่อคำสั่งที่ให้พักงานโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนคำสั่งให้พักงานดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 เพิกถอนคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยและเพิกถอนคำสั่งพักงานโจทก์ หากไม่ยอมปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งเจ็ดให้การว่า คำสั่งของจำเลยที่ 1 เป็นคำสั่งทางปกครองที่เป็นไปตามข้อตกลงการจ้างที่ให้อำนาจจำเลยที่ 1 กระทำได้และมิใช่การวินิจฉัยชี้ขาดว่าโจทก์ได้กระทำความผิด โจทก์ยังมิได้ถูกโต้แย้งสิทธิ จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ส่วนจำเลยที่ 3 ถึงที่ 7 ฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายให้เห็นชัดแจ้งว่าได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์อย่างไร จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังยุติได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลตาม พ.ร.บ. การประปาส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2522 จำเลยที่ 2 เคยดำรงตำแหน่งผู้ว่าการของจำเลยที่ 1 โจทก์เป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2542 จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ว่าการของจำเลยที่ 1 ในขณะนั้นได้มีคำสั่งแต่งตั้งจำเลยที่ 3 ถึงที่ 7 เป็นคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโจทก์ กรณีโจทก์ถูกกล่าวหาว่าทุจริตในการเบิกค่าเช่าบ้าน และวันที่ 22 เมษายน 2542 จำเลยที่ 2 ได้มีคำสั่งให้พักงานโจทก์เพื่อรอฟังผลการสอบสวนทางวินัย โจทก์จึงฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนและคำสั่งให้พักงานดังกล่าว ทั้งนี้ในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้คณะกรรมการสอบสวนยังทำการสอบสวนทางวินัยแก่โจทก์ไม่เสร็จสิ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การที่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ว่าการของจำเลยที่ 1 มีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 3 ถึงที่ 7 เป็นคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโจทก์กรณีโจทก์ถูกกล่าวหาว่าทุจริตในการเบิกค่าเช่าบ้านนั้น เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า การตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยจะชอบด้วยระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 1 หรือไม่ก็ตาม ตราบใดที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้สั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนดังกล่าวยังมิได้ใช้อำนาจในฐานะนายจ้างมีคำสั่งอันเนื่องมาจากการสอบสวนตามคำสั่งดังกล่าวให้มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า คณะกรรมการสอบสวนยังทำการสอบสวนไม่เสร็จ ซึ่งจำเลยที่ 1 ยังมิได้มีความเห็นหรือมีมติว่าโจทก์มีความผิดและมีคำสั่งที่เป็นผลร้ายแก่โจทก์ จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิจากการที่จำเลยที่ 1 มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยโจทก์ดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยตามฟ้อง อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์ที่โจทก์อ้างว่า คำสั่งพักงานเป็นคำสั่งที่กระทบสิทธิของโจทก์ คือโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้าง ไม่มีสิทธิใช้รถยนต์ประจำตำแหน่งและทำให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียง ย่อมถือได้ว่าเป็นคำสั่งที่โต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้วนั้น อุทธรณ์ดังกล่าวไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง เนื่องจากศาลแรงงานกลางมิได้วินิจฉัยว่าคำสั่งของจำเลยที่ 1 ที่ให้พักโจทก์ไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์แต่อย่างใด ถือว่าเป็นอุทธรณ์ที่มิได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้ง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนอุทธรณ์ประการต่อไปของโจทก์พอสรุปได้ว่า คำสั่งให้พักงานโจทก์ของจำเลยที่ 1 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งให้พักงานโจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตาม พ.ร.บ. การประปาส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2522 มาตรา 23 บัญญัติว่า “ผู้ว่าการมีอำนาจ (1) บรรจุ แต่งตั้ง ถอดถอน เลื่อน ลด ตัดเงินเดือนหรือค่าจ้าง ลงโทษทางวินัยพนักงานและลูกจ้าง ตลอดจนให้พนักงานและลูกจ้างออกจากตำแหน่งตามข้อบังคับที่คณะกรรมการกำหนด แต่ถ้าเป็นพนักงานหรือลูกจ้างชั้นที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ ผู้อำนวยการฝ่าย หรือผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าขึ้นไป จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการก่อน…” และข้อบังคับการประปาภูมิภาค ว่าด้วยการพักงาน การสั่งให้ออกจากงานไว้ก่อนและการจ่ายเงินเดือนของผู้ที่ถูกสั่งพักงาน หรือถูกสั่งให้ออกจากงานไว้ก่อน พ.ศ. 2524 ข้อ 4 ระบุว่า “ในกรณีที่ปรากฏว่าผู้ปฏิบัติงานผู้ใดถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรือถูกฟ้องคดีอาญา หรือถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดอาญาเว้นแต่ความผิดลหุโทษ หรือความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ผู้ว่าการจะสั่งให้พักงานหรือสั่งให้ออกจากงานไว้ก่อนก็ได้…” เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์ถูกกล่าวหาว่าทุจริตในการเบิกค่าเช่าบ้านซึ่งเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ว่าการของจำเลยที่ 1 ในขณะนั้นโดยความเห็นชอบจากคณะกรรมการการประปาส่วนภูมิภาค จึงมีอำนาจสั่งให้พักงานโจทก์ไว้ก่อนได้ตามบทบัญญัติของกฎหมายและระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ 1 จะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยแก่โจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ก็ไม่มีผลกระทบต่อคำสั่งให้พักงาน คำสั่งที่ให้พักงานโจทก์เพื่อรอฟังผลการสอบสวนทางวินัยจึงชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางชอบแล้ว อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นเดียวกัน
พิพากษายืน.

Share