แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์ชั่วคราวก่อนพิพากษา โจทก์จำเลยยอมความให้ทรัพย์ที่ถูกยึดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ศาลพิพากษาตามยอมการยึดทรัพย์จึงยกเลิกไป ไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาคดีที่ผู้ร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ศาลยกคำร้องขัดทรัพย์ ผู้ร้องอุทธรณ์ฎีกา เป็นการขอให้พิจารณาสืบพยานต่อไป เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ เสียค่าขึ้นศาลตามตาราง 1 ข้อ 2 ก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิด และยึดทรัพย์ก่อนคำพิพากษาผู้ร้อง ๆ ขัดทรัพย์ ผู้ร้องขาดนัดและไม่มีพยานมาสืบในวันนัด ศาลไม่ให้เลื่อน และมีคำสั่งยกคำร้อง คดีเดิมของโจทก์จำเลยศาลพิพากษาตามยอมซึ่งจำเลยยอมยกทรัพย์ที่ยึดชั่วคราวใช้เป็นค่าเสียหายแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้พิจารณาพิพากษาใหม่ ศาลชั้นต้นพิจารณาใหม่ สั่งให้งดสืบพยานโดยเห็นว่าการยึดทรัพย์สิ้นสภาพไปเพราะคดีเดิมศาลพิพากษาตามยอมไปแล้ว ไม่มีสิทธิร้องขัดทรัพย์ จึงยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีเดิมโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย และโจทก์ขอให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยไว้ก่อนพิพากษา ระหว่างพิจารณา โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยยอมชำระหนี้ค่าเสียหายตามฟ้องให้โจทก์ และจำเลยยอมยกทรัพย์ที่โจทก์นำยึดไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษาให้โจทก์เป็นการชำระค่าเสียหายนั้น ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอม ถือได้ว่าคำสั่งยึดทรัพย์สินของจำเลยไว้ก่อนพิพากษาเป็นอันยกเลิกไป ดังนั้น คดีของผู้ร้องที่ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึดไว้ดังกล่าวจึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาต่อไป คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้วฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้ ผู้ร้องฎีกาแต่เพียงขอให้สั่งศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนี้ใหม่โดยให้ผู้ร้องนำพยานเข้าสืบ ไม่ได้ขอให้พิพากษาให้ผู้ร้องชนะคดีผู้ร้องจึงควรเสียค่าขึ้นศาลเพียง 50 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 2 ก. ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่แก้ไขใหม่”
พิพากษายืน