คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องที่โต้เถียงการแปลกฎหมายของจำเลยว่าจำเลยแปลกฎหมายมาใช้บังคับกับโจทก์ไม่ถูกต้อง มิใช่เป็นคำฟ้องให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ฐานละเมิด แม้ตามคำฟ้องจะเขียนว่าเป็นการฟ้องเรื่องละเมิด และในคำบรรยายฟ้องได้กล่าวว่า จำเลยใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมายและงดเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย เป็นเหตุให้โจทก์เสียประโยชน์อันพึงมีพึงได้ ก็ไม่เป็นเหตุที่จะทำให้ฟ้องของโจทก์กลายเป็นฟ้องในมูลละเมิด เพราะต้องถือเอาคำบรรยายฟ้องเป็นสำคัญ
เมื่อมูลคดีที่โจทก์ฟ้องไม่ใช่เป็นเรื่องละเมิด จะนำเอาบทบัญญัติเรื่องอายุความอันเกิดแต่มูลละเมิดมาใช้บังคับแก่คดีไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องสรุปได้ว่า โจทก์รับราชการติดต่อกันตลอดมา แต่เมื่อโจทก์ครบเกษียณอายุ จำเลยได้คิดบำนาญของโจทก์แบ่งออกเป็น 2 ตอนซึ่งเป็นการขัดแย้งต่อกฎหมาย ขอให้บังคับจำเลยเพิกถอนการทำละเมิดของจำเลย ฯลฯ กับให้จำเลยนับเวลาราชการของโจทก์ติดต่อเป็นตอนเดียวกัน

จำเลยให้การว่า การเข้ารับราชการของโจทก์ในตอนหลังเป็นการกลับเข้ารับราชการใหม่ แต่โจทก์ไม่ได้บอกเลิกบำนาญเดิมเพื่อขอนับเวลาราชการต่อ โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้นับเวลาราชการต่อกัน และต่อสู้ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องเนื่องจากมูลละเมิด คดีโจทก์ขาดอายุความแล้วให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า อายุความตามฟ้องโจทก์มีกำหนดสิบปีให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้พิจารณาพิพากษาใหม่

จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำบรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในคำฟ้องสรุปแล้วได้ความว่า โจทก์หาว่าจำเลยคำนวณบำนาญของโจทก์ไม่ถูกต้อง โดยจำเลยคิดบำนาญของโจทก์แบ่งออกเป็นสองตอน คือจำเลยนับวันราชการของโจทก์ตอนแรกจากวันที่ 1 มิถุนายน 2465 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2477 คิดเป็นบำนาญเสียตอนหนึ่ง แล้วนับวันราชการตอนที่สองจากวันที่ 1 สิงหาคม 2477 ถึงวันที่ 23 พฤษภาคม 2505คิดเป็นบำนาญอีกตอนหนึ่งแล้วเอายอดเงินบำนาญทั้งสองตอนมารวมกันจ่ายเป็นบำนาญให้โจทก์ ทั้งนี้ เพราะจำเลยอ้างว่าวันราชการของโจทก์ขาดตอนตามปฏิทิน ซึ่งโจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้องตามบทกฎหมายว่าด้วยการนั้น ทำให้โจทก์เสียหาย จึงขอให้บังคับจำเลยเพิกถอน และให้ปฏิบัติตามหน้าที่ที่จำเลยมีอยู่ตามกฎหมาย

ข้อความตามคำฟ้องดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นคำฟ้องที่โต้เถียงการแปลกฎหมายของจำเลย ว่าจำเลยแปลกฎหมายมาใช้บังคับกับโจทก์ไม่ถูกต้อง มิใช่เป็นคำฟ้องให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ฐานละเมิด แม้ตามคำฟ้องจะเขียนว่า เป็นการฟ้องเรื่องละเมิด และในคำบรรยายฟ้องได้กล่าวว่าจำเลยใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมายและงดเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย เป็นเหตุให้โจทก์เสียประโยชน์ในสิทธิที่จะพึงมีพึงได้ ก็ไม่เป็นเหตุที่จะทำให้ฟ้องของโจทก์กลายเป็นฟ้องในมูลละเมิดเพราะต้องถือเอาตามคำบรรยายฟ้องเป็นสำคัญ ฉะนั้น มูลคดีที่โจทก์ฟ้องจึงไม่ใช่เป็นเรื่องละเมิดจึงนำเอาบทบัญญัติเรื่องอายุความอันเกิดแต่มูลละเมิดมาใช้บังคับแก่คดีนี้ไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความและให้ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share