แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาหาว่าโจทก์ปลอมและใช้เอกสารสัญญากู้ขอให้ลงโทษนั้นแม้จำเลยจะถอนฟ้องคดีอาญาเสียระหว่างไต่สวนมูลฟ้องก่อนศาลสั่งประทับฟ้องก็ดีหากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าฟ้องที่จำเลยกล่าวหาโจทก์เป็นฟ้องเท็จแล้วจำเลยก็ย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 175,176
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2506 จำเลยเอาความอันเป็นเท็จฟ้องต่อศาลจังหวัดลำพูนว่า โจทก์บังอาจร่วมกับพวกทำเอกสารปลอมขึ้น 2 ฉบับใจความว่า จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ไป 7,000 บาท เมื่อ 12 เมษายน 2499 ฉบับหนึ่ง อีกฉบับหนึ่งกู้ 500 บาท เมื่อ 19 กรกฎาคม 2500 และปลอมลายมือจำเลยลงในช่องผู้กู้ทั้งสองฉบับ ครั้นวันที่ 8 มีนาคม 2506 เวลากลางวัน โจทก์อ้างเอกสารปลอมทั้งสองฉบับนี้เป็นพยานต่อศาลในคดีอาญาเลขดำที่ 25/2506 ซึ่งเป็นฟ้องเท็จทั้งสิ้น ความจริงจำเลยกู้เงินโจทก์ตามเอกสารกู้ 2 ฉบับนั้นจริงเหตุเกิดที่ศาลจังหวัดลำพูน ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูนขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งรับประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยฟ้องเท็จ พิพากษาว่า จำเลยผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 แต่จำเลยลุแก่โทษต่อศาล คือ ถอนฟ้องเสียก่อนศาลพิพากษา ต้องตามมาตรา 176 ให้จำคุก 2 เดือนปรับ 300 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องโจทก์สมบูรณ์ แต่ไม่มีข้อเท็จจริงที่จะแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาแกล้งเอาความเท็จมาฟ้องโจทก์ ไม่พอลงโทษจำเลย พิพากษากลับยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้กู้เงินโจทก์ไป 2 ครั้งจริง หาใช่โจทก์ทำปลอมขึ้นไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ จำเลยมาฟ้องโจทก์หาว่าปลอมสัญญากู้จึงเป็นฟ้องเท็จ ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ว่าไม่มีข้อเท็จจริงที่จะแสดงว่าจำเลยฟ้องเท็จนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
แต่คดีที่จำเลยฟ้องเท็จต่อโจทก์นั้น ปรากฏว่าจำเลยได้ถอนฟ้องไปในระหว่างไต่สวนมูลฟ้อง ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งประทับฟ้อง ปัญหาว่าจำเลยจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 หรือไม่
พิจารณาประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175, 176 แล้วจะเห็นได้ว่าไม่มีข้อความบัญญัติไว้เลยว่า การถอนฟ้องคดีอาญาระหว่างไต่สวนมูลฟ้องก่อนศาลสั่งประทับฟ้องจะไม่เป็นความผิดตามมาตรา 175 เป็นแต่มาตรา 176 บรรเทาโทษไว้ว่า การฟ้องผู้อื่นเป็นคดีอาญาด้วยความเท็จนั้น ถ้าขอถอนฟ้องหรือแก้ฟ้องให้ตรงกับความจริงก่อนศาลมีคำพิพากษาแล้ว ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ หรือจะไม่ลงโทษเลยก็ได้เท่านั้น แต่กฎหมายไม่ได้บัญญัติยกเว้นว่าการกระทำนั้นจะไม่เป็นความผิด ฉะนั้น จำเลยจึงยังมีความผิดตามมาตรา 175 อยู่ แต่ปรากฏว่าจำเลยได้ลุแก่โทษต่อศาลโดยขอถอนฟ้องก่อนศาลมีคำพิพากษา ควรได้รับการบรรเทาโทษตามมาตรา 176 กฎหมายหาได้บัญญัติว่า การถอนฟ้องในคดีเช่นนี้ต้องมิใช่เพราะผู้กระทำผิดจำนนต่อพยานหลักฐานจึงจะได้รับการบรรเทาโทษไม่ ฉะนั้น ตามที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยไม่มีสิทธิที่จะได้รับบรรเทาโทษเพราะจำนนแก่พยานจึงฟังไม่ขึ้น
นอกจากจำเลยลุแก่โทษต่อศาลแล้ว ยังปรากฏว่าจำเลยอายุ 68 ปี ต้องจำคุกมากว่า 45 วัน เห็นว่าจำเลยรับโทษมาพอสมควรแก่ความผิดแล้ว
พิพากษากลับ จำคุก 45 วันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175ประกอบมาตรา 176 แต่จำเลยต้องถูกจำคุกมาพอแก่โทษแล้ว ให้ปล่อยตัวจำเลยไป