แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์มีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการรับอนุญาตทำไม้และทำการค้าไม้ส่วนจำเลยที่ 1 ประกอบธุรกิจการอุตสาหกรรมโรงเลื่อยจักรและโรงงานแปรรูปไม้ตลอดจนจำหน่ายไม้ซุงกระยาเลยทุกชนิด รวมทั้งไม้แปรรูปทุกชนิดและทุกประเภท ดังนั้นการที่จำเลยที่ 1 ซื้อไม้กระยาเลยท่อนจากโจทก์เพื่อนำไปใช้ผลิตเป็นไม้แปรรูปออกจำหน่าย จึงเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(1) การที่โจทก์ฟ้องเรียกราคาไม้กระยาเลยท่อนที่จำเลยทั้งสองค้างชำระ จึงต้องใช้อายุความ5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33(5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ต่อมาได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเลิกบริษัทและชำระบัญชี มีนายจันทร์ แผลงศร นายวิชาญ ปรีดาสุวรรณ นายนิรันด์ ศรีเทพ และนายบุญช่วย ทนันไชย เป็นผู้ชำระบัญชี จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการซื้อขายจำหน่ายไม้ทุกชนิดโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้จัดการ เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2529, 18 สิงหาคม 2529 และ23 มีนาคม 2530 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะกรรมการผู้จัดการและในฐานะส่วนตัวเข้าทำสัญญาซื้อขายไม้กระยาเลยท่อนกับโจทก์ในป่าโครงการน้ำน่านฝั่งซ้าย(นน.3) ตอนที่ 5 แปลงที่ 13 ตอนที่ 5 แปลงที่ 14 และโครงการน้ำลี – น่าน (นน.1) ตอนที่ 5 แปลงที่ 14 ที่โจทก์ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลรวม 4 สัญญา เป็นเงิน 20,177,312.97 บาท จำเลยทั้งสองได้รับมอบไม้ตามสัญญาแล้ว และได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์บางส่วนเป็นเงิน 17,843,579.30 บาท คงค้างชำระ 2,333,733.67 บาท โจทก์มีหนังสือทวงถามและจำเลยทั้งสองได้รับหนังสือทวงถามแล้วเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2532 แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 302,266.46 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 2,333,733.67 บาท ดอกเบี้ย 302,266.46 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,333,733.67 บาท นับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเนื่องจากนายจันทร์ แผลงศร นายวิชาญ ปรีดาสุวรรณ นายนิรันต์ ศรีเทพ และนายบุญช่วย ทนันไชย ไม่ใช่กรรมการของโจทก์และไม่ใช่ผู้ชำระบัญชีโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ เพราะไม่ได้ปฏิบัติตามข้อสัญญาหรือข้อบังคับของโจทก์ โจทก์ส่งมอบไม้กระยาเลยให้แก่จำเลยตั้งแต่ปี 2530 นับถึงวันฟ้องเกิน 2 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายครบถ้วนแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 เนื่องจากจำเลยที่ 2 ดำเนินการแทนจำเลยที่ 1 ในฐานะเป็นตัวแทนนิติบุคคลจึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่ใช่บุคคลซึ่งประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(1) เพราะไม่ได้ทำการซื้อสินค้ามาแล้วขายไปเป็นปกติธุระ นอกจากนี้โจทก์เป็นผู้ได้รับสัมปทานการทำไม้จากรัฐ จึงไม่อาจทราบได้ว่า มีไม้ชนิดอะไร จำนวนเท่าไร ตัดแล้วจะได้กี่ท่อน กี่ลูกบาศก์เมตร ซึ่งจะรวบรวมได้เมื่อไม้รวมหมอนแล้ว โจทก์จึงไม่ใช่บุคคลซึ่งประกอบการค้าเรียกเอาของที่ได้ส่งมอบ รวมทั้งโจทก์ก็ไม่ใช่ผู้ประกอบเกษตรกรรมหรือการป่าไม้ เรียกเอาของที่ได้ส่งมอบตามมาตรา 193/34(2) เพราะโจทก์ไม่ได้มีอาชีพเกษตรกรรมโดยการปลูกไม้เพื่อตัดขาย สัญญาซื้อขายทั้ง 4 ฉบับ จึงไม่อยู่ในอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/35 เห็นว่า ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.1 ได้ระบุว่าโจทก์มีวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการรับอนุญาตทำไม้และทำการค้าไม้ดังนั้น การที่โจทก์ทำสัญญาขายไม้กระยาเลยท่อนป่าโครงการน้ำน่านฝั่งซ้าย (นน.3) ตอนที่ 5 แปลงที่ 13 ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 ไม้กระยาเลยท่อนป่าโครงการน้ำลี – น้ำน่าน (นน.1) ตอนที่ 5 แปลงที่ 14 ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.4 และไม้กระยาเลยท่อนป่าโครงการน้ำน่านฝั่งซ้าย (นน.3) ตอนที่ 5 แปลงที่ 14ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.5 ให้แก่จำเลยที่ 1 นั้น จึงเป็นการดำเนินธุรกิจหรือดำเนินกิจการขายในวัตถุประสงค์ของโจทก์ อันถือได้ว่าโจทก์ที่ 1 เป็นผู้ประกอบการค้าตามมาตรา 193/34(1) แล้ว ส่วนจำเลยที่ 1 นั้น ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย ล.11 ได้ระบุวัตถุประสงค์ว่าประกอบธุรกิจการอุตสาหกรรมโรงเลื่อยจักรและโรงงานแปรรูปไม้ตลอดจนจำหน่ายไม้ซุงสัก ไม้ซุงกระยาเลยทุกชนิด ทุกประเภทและตลอดจนจำหน่ายไม้แปรรูปทุกชนิด ทุกประเภท ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 ซื้อไม้กระยาเลยท่อนจากโจทก์ก็เพื่อนำไปใช้ผลิตเป็นไม้แปรรูปออกจำหน่าย อันเป็นการดำเนินธุรกิจภายในวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 เองอันเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(1) ฉะนั้น การที่โจทก์ฟ้องเรียกราคาไม้กระยาเลยท่อนที่ค้างชำระจากจำเลยทั้งสอง จึงต้องใช้อายุความ 5 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33(5) ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความอุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น แต่คดียังมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ จำเลยชำระราคาค่าไม้กระยาเลยท่อนให้โจทก์ถูกต้องครบถ้วนแล้วหรือไม่ และจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 เป็นการส่วนตัวหรือไม่ ซึ่งศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยและไม่ได้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาไม่อาจวินิจฉัยได้ จึงจำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยปัญหาในคดีให้สิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี อุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายของโจทก์เช่นนี้ เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตาราง 1 ข้อ 2(ก) ปรากฏว่าโจทก์เสียค่าขึ้นศาลเกินมา จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินให้แก่โจทก์”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น และย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นอื่นที่ยังมิได้วินิจฉัยแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าขึ้นศาลที่ชำระเกินมาในชั้นฎีกาให้คืนแก่โจทก์