คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4991/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อได้ความว่าจำเลยออกเช็คพิพาทให้โจทก์โดยมีมูลหนี้ระหว่างกันจึงหาต้องคำนึงถึงการรับโอนของผู้ทรงคนต่อมาว่าสุจริตหรือไม่ เพราะจำเลยไม่สามารถยกข้อต่อสู้ว่าเช็คไม่มีมูลหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้ทรงคนก่อนได้อยู่แล้ว เช็คพิพาทเป็นเช็คส่วนตัวของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการบริษัท จำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายและประทับดวงตราสำคัญแบบใหม่ของจำเลยที่ 1 ซึ่งยังมิได้จดทะเบียนการใช้ จึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย แต่การที่เช็คพิพาทลงลายมือชื่อบุคคลหลายคน มีทั้งบุคคลซึ่งไม่อาจเป็นคู่สัญญาแห่งตั๋วเงินนั้นได้เลยหรือเป็นได้แต่ไม่เต็มผล ย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงความรับผิดของบุคคลอื่น ๆ นอกนั้นซึ่งคงต้องรับผิดตามตั๋วเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 902 ดังนั้นจำเลยที่ 2 จึงยังคงต้องรับผิดตามเช็ค จำเลยทั้งสองรับว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพียงแต่อ้างว่าไม่ต้องรับผิดตามเช็ค ดังนี้แม้เช็คพิพาทจะปิดอากรแสตมป์ไม่ถูกต้อง ข้อเท็จจริงก็รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2ได้สั่งจ่ายเช็คพิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 1มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 โดยลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัท โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัดสาขาชลบุรี จำนวน 2 ฉบับ ฉบับละ 500,000 บาท รวมเช็ค 2 ฉบับเป็นเงิน 1,000,000 บาท โจทก์นำเช็คทั้ง 2 ฉบับเรียกเก็บเงินตามวิธีการของธนาคาร แต่ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ และการที่จำเลยที่ 2ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็ค โดยไม่ได้เขียนแถลงว่ากระทำการแทนบุคคลอีกคนหนึ่ง จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดชำระเงินตามความในเช็คทั้ง 2 ฉบับในฐานะส่วนตัวร่วมกับจำเลยที่ 1 ด้วย โจทก์ทวงถามแต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย จำเลยทั้งสองต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของจำนวนเงินในเช็คแต่ละฉบับ นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า เช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับ เป็นเช็คที่นายศรีไทย ศรีเวทย์บดี กับนายสุรชัย ภูริเวทย์คุณากร สมคบร่วมกันปลอมแปลงตัวเลขและตัวหนังสือเขียนกรอกลงไปในเช็คพร้อมกับเช็คอื่นอีก 1 ฉบับ พร้อมทั้งประทับตราของจำเลยที่ 1 ลงไปในเช็คโดยจำเลยทั้งสองมิได้รู้เห็นยินยอม ต่อมานายศรีไทยและนายสุรชัยซึ่งทั้งสองเป็นกรรมการของบริษัทยูนิบราเดอร์ จำกัด ได้ร่วมกันทำกลฉ้อฉลลวงจำเลยทั้งสองโดยทำเป็นโอนเช็คพิพาทกับเช็คอื่นอีก1 ฉบับ รวม 3 ฉบับ ที่ไม่มีมูลค่าและมูลหนี้ใด ๆ จึงเปรียบเสมือนโอนเช็คพิพาทให้แก่คนเดียวกัน แล้วโจทก์ก็นำเช็คพิพาทไปฟ้องเป็นคดีอาญา จำเลยทั้งสองไม่เคยสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับ ชำระหนี้ให้แก่ผู้มีชื่อหรือผู้ใด เช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับ เป็นเช็คส่วนตัวของจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่มีดวงตราใด ๆ ประทับในเช็ค โจทก์มิใช่ผู้ทรงเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับ ย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,000,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีแต่วันที่ 9 เมษายน 2529 ซึ่งเป็นวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองคงให้การต่อสู้เพียงว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คที่นายศรีไทยกับนายสุรชัยปลอมแปลงตัวเลขและตัวหนังสือ พร้อมทั้งประทับตราของจำเลยที่ 1 ลงไปในเช็คดังกล่าวโดยจำเลยทั้งสองมิรู้เห็นยินยอม โจทก์มิใช่ผู้ทรงเช็คพิพาทโดยสุจริตเท่านั้น หาได้ต่อสู้ถึงมูลเหตุที่จำเลยออกเช็คพิพาทไม่ เฉพาะอย่างยิ่ง จำเลยทั้งสองรับว่าเช็คพิพาททั้งสองฉบับจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย ดังนั้นการที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า นายศรีไทยยืมเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับจากจำเลยที่ 2 เพื่อนำไปแลกเงินสดจากญาติของนายศรีไทย นั้น จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานจำเลยทั้งสองน่าเชื่อว่าการที่นายศรีไทยและบริษัทยูนิบราเดอร์ จำกัด ได้ให้จำเลยที่ 2 ยืมเงินไปก็เนื่องจากจำเลยที่ 2 ต้องการนำไปขยายโรงงานผลิตสินค้าที่ตกลงจะให้บริษัทยูนิบราเดอร์ จำกัดเป็นผู้จัดจำหน่ายนั่นเอง อันเป็นการเกื้อกูลกัน โดยไม่คิดดอกเบี้ยและไม่มีกำหนดชำระคืน ดังนั้นจึงไม่ได้มีการลงวันที่ในเช็คจนกระทั่งได้เกิดกรณีพิพาทกันระหว่างบริษัทยูนิบราเดอร์จำกัด กับจำเลยทั้งสอง ถึงกับยกเลิกสัญญาการเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้านายศรีไทยและบริษัทยูนิบราเดอร์ จำกัด จึงได้ทวงถามเงินตามเช็ค เช็คพิพาทจึงเป็นเช็คที่มีมูลหนี้ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่านายสุรชัยผู้ทรงคนต่อมาและโจทก์ผู้ทรงคนปัจจุบันรับโอนเช็คพิพาทมาโดยไม่สุจริต โดยอ้างเหตุผลต่าง ๆ นั้น เห็นว่า เมื่อเช็คพิพาทเป็นเช็คที่มีมูลหนี้ดังได้วินิจฉัยมาแล้ว จึงหาต้องคำนึงถึงการรับโอนของผู้ทรงคนต่อมาไม่ เพราะถึงอย่างไรก็ตามจำเลยก็ไม่สามารถยกข้อต่อสู้ที่ว่าเช็คไม่มีมูลหนี้ขึ้นต่อสู้ผู้ทรงคนก่อนได้อยู่แล้ว ปัญหาตามฎีกาของจำเลยทั้งสองต่อไปมีว่าเช็คพิพาททั้งสองฉบับสั่งจ่ายเมื่อเดือนสิงหาคม 2524 แต่ดวงตราสำคัญของบริษัทจำเลยที่ 1 ที่ประทับลงในเช็คเป็นดวงตราแบบใหม่ซึ่งบริษัทจำเลยที่ 1 ไม่เคยใช้มาก่อน เพิ่งใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่4 มกราคม 2525 นั้น เห็นว่าจำเลยทั้งสองมีคำขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงดวงตราสำคัญสนับสนุนข้อเท็จจริงดังกล่าว ทั้งโจทก์รับในคำแถลงการณ์ปิดคดีว่า จำเลยที่ 1 เพิ่งไปยื่นคำขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงในวันที่ 8 มกราคม 2525 และได้รับอนุมัติในวันที่ยื่นคำขอตรงกับในวันที่ออกเช็ค แต่ไม่แจ้งชัดว่าเป็นตราสำคัญดวงใด จำเลยที่ 1 อาจใช้ดวงตราใหม่ซึ่งทำขึ้นล่วงหน้าประทับในเช็คพิพาทก็ได้เท่านั้น เมื่อพิเคราะห์ถึงเหตุผลที่ว่า จำเลยที่ 1ยื่นคำขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงดวงตรา เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2525ดังนั้น ก่อนหน้านี้การประทับดวงตราสำคัญของจำเลยที่ 1 จึงต้องเป็นดวงตราแบบเก่า การที่เช็คพิพาทประทับดวงตราสำคัญแบบใหม่ที่จำเลยที่ 1 ยังไม่จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงใช้ และตามใบคืนเช็คธนาคารแจ้งว่า ตัวอย่างลายมือชื่อที่ให้ไว้ไม่มีตราประทับแสดงว่าเป็นเช็คส่วนตัวของจำเลยที่ 2 จึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาท ถึงอย่างไรก็ตามการที่เช็คพิพาทลงลายมือชื่อบุคคลหลายคน มีทั้งบุคคลซึ่งไม่อาจเป็นคู่สัญญาแห่งตั๋วเงินนั้นได้เลย หรือเป็นได้แต่ไม่เต็มผลย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงความรับผิดของบุคคลอื่น ๆ นอกนั้นซึ่งคงต้องรับผิดตามตั๋วเงิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 902ดังนั้นเมื่อเช็คพิพาทจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายและเป็นเช็คส่วนตัวของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงยังคงต้องรับผิดตามเช็คพิพาท จำเลยทั้งสองฎีกาปัญหาข้อสุดท้ายว่า เช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นหลักฐานฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ เพราะปิดอากรแสตมป์ไม่ครบนั้น เห็นว่า พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร(ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2526 มาตรา 14 แก้ไขบัญชีอัตราอากรแสตมป์ลักษณะแห่ง ตราสาร ข้อ 12 กำหนดค่าอากรแสตมป์เช็คเป็นฉบับละ 3 บาทซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2526 เป็นต้นมาย่อมหมายความว่า เช็คซึ่งสั่งจ่ายตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2526เป็นต้นมา ต้องชำระค่าอากรแสตมป์ 3 บาท สำหรับเช็คพิพาทลงวันที่สั่งจ่ายวันที่ 31 มีนาคม 2529 ดังนั้นจึงต้องชำระค่าอากรแสตมป์ฉบับละ 3 บาท แต่ปรากฏว่าเช็คพิพาทชำระค่าอากรแสตมป์ไม่ครบตามที่กฎหมายกำหนด ผลตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 หมายถึงจะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีก หรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้เท่านั้น หาใช่จะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ไม่สำหรับคดีนี้ แม้จะไม่รับฟังเช็คพิพาทตามเอกสารหมาย จ.4 และ จ.5เป็นพยาน แต่จำเลยทั้งสองก็รับว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้ง 2 ฉบับ เพียงแต่อ้างว่าไม่ต้องรับผิดตามเช็คเท่านั้น ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทและต้องรับผิดดังที่ได้วินิจฉัยมา ข้อต่อสู้ข้อนี้ของจำเลยทั้งสองจึงฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาในข้ออื่น ๆ นอกจากที่ได้วินิจฉัยมา ล้วนเป็นข้อที่มิใช่สาระสำคัญถึงกับจะทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้นเฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 เท่านั้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ทั้งสามศาลให้เป็นพับนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share