คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 499/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมี ส. เป็นกรรมการผู้จัดการ การที่ ส. สั่งซื้อกรอบรูปจากโจทก์แม้จะลงลายมือชื่อในใบสั่งซื้อเพียงผู้เดียว ก็ถือได้ว่า ส. ทำการแทนจำเลยจำเลยจึงต้องรับผิดชอบตามใบสั่งซื้อดังกล่าว จำเลยสั่งซื้อกรอบรูปจากโจทก์แล้วต่อมาเป็นฝ่ายผิดสัญญาเงินกำไรที่โจทก์จะได้รับจึงเป็นค่าเสียหายตามปกติอันเกิดจากการผิดสัญญาของจำเลย จำเลยจึงต้องมีหน้าที่ชดใช้ให้โจทก์ ส่วนค่าจ้างทำแม่พิมพ์กรอบรูปนั้น โจทก์มีข้อตกลงกับ ท. ซึ่งโจทก์ว่าจ้างให้ทำกรอบรูปเพื่อขายให้จำเลยว่า หากมีการส่งมอบกรอบรูปให้จำเลยเรียบร้อยค่าจ้างแม่พิมพ์ ท. จะเป็นผู้ออก แต่หากผิดสัญญาโจทก์ต้องรับผิดชอบเองเช่นนี้ แม้ค่าจ้างทำแม่พิมพ์จะเป็นค่าเสียหายอันเนื่องจากการที่จำเลยผิดสัญญา แต่ก็เป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษซึ่งจำเลยไม่สามารถคาดเห็นหรือควรจะคาดเห็นได้ก่อนล่วงหน้า โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายส่วนนี้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสั่งซื้อกรอบรูปจากโจทก์ ต่อมาจำเลยผิดสัญญาไม่ยอมรับกรอบรูปดังกล่าว เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายต้องขาดกำไรจากการขายกรอบรูปจำนวน 216,000 บาท ค่าเสียหายในการทำแม่พิมพ์ในการผลิตกรอบรูป 60,000 บาท และค่าเสียหายจากการสั่งซื้อเม็ดพลาสติกเพื่อทำกรอบรูป 6,431 บาท รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น282,471 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยสั่งซื้อกรอบรูปจากโจทก์หากฟังว่าจำเลยสั่งซื้อจำเลยก็ไม่ได้ผิดนัด แต่โจทก์ผิดนัดไม่ยอมส่งของภายในกำหนดค่าเสียหายสูงเกินไป ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นายสมวงศ์เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทจำเลย ได้ลงลายมือชื่อผู้อนุมัติในใบสั่งซื้อกรอบรูปจากโจทก์จริงแม้นายสมวงศ์จะลงลายมือชื่อในใบสั่งซื้อดังกล่าวเพียงผู้เดียว ก็ถือได้ว่านายสมวงศ์ทำการแทนจำเลยจำเลยจึงต้องรับผิดชอบตามใบสั่งซื้อเมื่อจำเลยไม่ยอมรับกรอบรูปจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา
ในปัญหาที่ว่าโจทก์เสียหายเท่าใดนั้น โจทก์เรียกค่าเสียหายมา 3 จำนวน คือ ค่าจ้างทำแม่พิมพ์เป็นเงิน 60,000 บาท ค่าเสียหายจากการที่โจทก์สั่งซื้อเม็ดพลาสติกสำหรับทำกรอบรูปเป็นเงิน6,431 บาท และกำไรที่โจทก์จะได้จากการส่งกรอบรูปให้แก่จำเลยอันละ50 สตางค์ รวมเป็นเงิน 216,000 บาทได้ความว่าจำเลยสั่งซื้อกรอบรูปอันละ 3.10 บาท โจทก์จ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด ไทรทองเอ็นเตอร์ไพรส์ ผลิตอันละ 2.60 บาท โจทก์จึงได้กำไรอันละ50 สตางค์รวมเป็นเงิน 216,000 บาท เห็นว่า หากจำเลยไม่ผิดสัญญาโจทก์ย่อมได้เงินกำไรในส่วนนี้ ค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวจึงเป็นค่าเสียหายตามปกติอันเกิดจากการผิดสัญญาของจำเลย ซึ่งจำเลยมีหน้าที่ต้องชดใช้ให้แก่โจทก์ ส่วนค่าจ้างทำแม่พิมพ์และค่าเสียหายจากการที่โจทก์สั่งซื้อเม็ดพลาสติกสำหรับทำกรอบรูปนั้น โจทก์นำสืบว่าโจทก์มีข้อตกลงกับห้างหุ้นส่วนจำกัดไทรทองเอ็นเตอร์ไพรส์ ว่า หากมีการส่งมอบสินค้าเรียบร้อยค่าจ้างทำแม่พิมพ์ 60,000 บาท นี้ทางห้างจะเป็นผู้ออก แต่หากผิดสัญญาโจทก์ต้องรับผิดชอบ จำเลยมิได้นำสืบโต้แย้งเป็นประการอื่น จึงต้องฟังว่ามีข้อตกลงดังกล่าวจริงดังนั้นการที่จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาจึงเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายต้องชำระค่าจ้างทำแม่พิมพ์ดังกล่าวไป อย่างไรก็ตามศาลฎีกาเห็นว่า แม้ค่าเสียหายดังกล่าวจะเกิดขึ้นเนื่องจากจำเลยผิดสัญญา แต่ก็เป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษซึ่งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยสามารถคาดเห็นหรือควรจะคาดเห็นได้ก่อนล่วงหน้าโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายส่วนนี้จากจำเลยได้ สำหรับค่าเสียหายจากการที่โจทก์สั่งซื้อเม็ดพลาสติกจำนวน 6,431 บาท นั้นโจทก์นำสืบเพียงว่าเป็นค่าเสียหายเกี่ยวกับการสั่งซื้อวัตถุดิบเพื่อเตรียมผลิต โดยไม่ปรากฏรายละเอียดว่าโจทก์ต้องเสียหายอย่างไรบ้างและเงินจำนวนดังกล่าวมิใช่ค่าเม็ดพลาสติกที่ใช้ในการผลิต จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายในส่วนนี้อันจะเรียกร้องเอาจากจำเลยได้ สรุปแล้วโจทก์มีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากจำเลยเป็นเงิน216,000 บาท
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 216,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ.

Share