แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สิทธิการเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัว เมื่อผู้เช่าตาย สิทธิการเช่าย่อมระงับไม่ตกทอดไปยังทายาท คำพิพากษาในคดีอื่นที่วินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิการเช่ามิใช่คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145(2) จึงไม่อาจใช้ยันโจทก์และโจทก์ร่วมซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีนั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ได้รับสิทธิการเช่าอาคารตึกแถว3 ชั้น ห้องหมายเลขที่ 291-293 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จังหวัดนครปฐมเพื่ออยู่อาศัยและประกอบการค้า เมื่อโจทก์ทำสัญญาเช่าอาคารดังกล่าวจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จังหวัดนครปฐมแล้ว โจทก์ไม่สามารถเข้าไปครอบครองเพื่ออยู่อาศัยหรือประกอบการค้าได้เพราะจำเลยและบริวารได้ครอบครองอยู่ในอาคารพิพาทนี้ โดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะอยู่ในอาคารพิพาทได้ ขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกจากอาคารพิพาท และให้จำเลยส่งมอบอาคารพิพาทคืนให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยและห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องอย่างใดในอาคารพิพาทนี้อีกต่อไป ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกจากอาคารพิพาท
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เดิมอาคารพิพาททนายบุ้นเอ็ง แซ่จึง เป็นผู้เช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แต่ให้นางฮั่วจู แซ่ฮ้อ เป็นผู้ทำสัญญาเช่าแทนปี 2526 นางฮั่วจูได้ฟ้องขับไล่นายบุ้นเอ็งและจำเลยออกจากอาคารพิพาท ศาลวินิจฉัยว่านางฮั่วจูเป็นผู้ถือสัญญาเช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์แทนนายบุ้นเอ็ง พิพากษายกฟ้องปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 65/2527 ดังนั้น นางฮั่วจูจึงมิใช่เป็นเจ้าของสิทธิในการเช่าอาคารพิพาท ไม่มีอำนาจโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ โจทก์ไม่ได้สิทธิการเช่าอาคารพิพาท และไม่มีอำนาจที่จะฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนางบุ้นเอ็ง ขอให้ยกฟ้องและบังคับให้โจทก์จัดการโอนสิทธิการเช่าในอาคารพิพาท โดยเปลี่ยนชื่อผู้เช่าจากชื่อโจทก์เป็นชื่อของจำเลยในฐานะผู้เช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์แทนชื่อโจทก์ด้วย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เดิมอาคารพิพาท นางฮั่วจู แซ่ฮ้อเป็นผู้ได้รับสิทธิการเช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์โจทก์ได้รับโอนสิทธิการเช่าอาคารพิพาทมาจากนางฮั่วจูโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ซึ่งทางสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อาคารพิพาทเป็นผู้จัดการให้โจทก์เป็นผู้เช่ารายนี้ถูกต้องตามระเบียบของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ทุกประการ โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิในอาคารพิพาทนายบุ้นเอ็งบิดาจำเลยก็ถึงแก่กรรมไปแล้ว จำเลยจึงไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์และไม่มีอำนาจที่จะขัดขวางการเข้าไปทำประโยชน์ของโจทก์ในอาคารพิพาทดังกล่าวนี้ได้ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้หมายเรียกสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากอาคารพิพาท และส่งมอบอาคารพิพาทให้โจทก์ในสภาพเรียบร้อยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 15,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องตลอดไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายออกจากอาคารพิพาท สำหรับฟ้องแย้งของจำเลยให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้จะฟังว่านายบุ้นเอ็งมีสิทธิการเช่าตึกแถวพิพาทจากโจทก์ร่วม แต่สิทธิการเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัวเมื่อนายบุ้นเอ็งตาย สิทธิการเช่าย่อมระงับหรือสิ้นสุดลงไม่ตกทอดไปยังจำเลยซึ่งเป็นทายาทแต่อย่างใด สำหรับคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 65/2527 ของศาลชั้นต้นเป็นคำพิพากษาที่วินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิการเช่าอาคาร มิใช่คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145(2) จึงไม่อาจใช้ยันโจทก์และโจทก์ร่วมซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดี
พิพากษายืน