คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4974/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การรับฟังคำรับสารภาพชั้นสอบสวนซึ่งจำเลยปฏิเสธชั้นศาลมาใช้ลงโทษจำเลยโจทก์ต้องมีพยานประกอบว่าจำเลย กระทำผิดจริงและพยานประกอบนั้นมิใช่มีเพียงคำเบิกความของพนักงานสอบสวนผู้สอบสวนคำรับสารภาพเท่านั้น คดีนี้พยานประกอบของโจทก์คือ ด. ซึ่งอาจตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกับจำเลย ด. อาจซัดทอดจำเลยเพื่อให้ตนพ้นจากการตกเป็นผู้ต้องหาก็ได้ คำเบิกความของ ด. จึงมีน้ำหนักน้อยพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักพอที่จะลงโทษจำเลยตามฟ้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า มีคนร้ายลักโคของผู้เสียหาย ต่อมาจำเลยนำโคของผู้เสียหายไปขายแก่ผู้มีชื่อ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕, ๓๕๗
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๕๗ จำคุก ๓ ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ คงจำคุก ๒ ปี ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า การรับฟังคำรับสารภาพชั้นสอบสวนซึ่งจำเลยปฏิเสธชั้นศาลมาใช้ลงโทษจำเลย โจทก์ต้องมีพยานประกอบว่าจำเลยกระทำผิดจริงและพยานประกอบนั้นมิใช่มีเพียงคำเบิกความของพนักงานสอบสวน ผู้สอบสวนคำรับสารภาพเท่านั้นคดีนี้พยานประกอบของโจทก์คือนายดอรอสะ เบิกความรับว่า ได้ขับรถยนต์บรรทุกโคดังกล่าวไปส่งที่อำเภอสายบุรีจริง ในชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การว่า นายดอรอสะ ได้พูดแนะนำจำเลยว่าที่อำเภอสายบุรีมีคนคอยรับซื้อโคดังกล่าวอยู่ เช่นนี้ นายดอรอสะ จึงอาจตกเป็นผู้ต้องหาฐานร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจรโคดังกล่าว และนายดอรอสะ อาจซัดทอดจำเลยเพื่อให้ตนพ้นจากการตกเป็นผู้ต้องหาก็ได้ คำเบิกความของนายดอรอสะ จึงมีน้ำหนักน้อย ฉะนั้น พยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักพอที่จะลงโทษจำเลยฐานรับของโจรตามฟ้องได้
พิพากษายืน

Share