แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดนั้น เมื่อได้กล่าวบรรยายในฟ้องว่า ต้องเสียหายอะไรบ้าง และประมาณค่าเสียหายรวมกันมาเป็นเงินจำนวนหนึ่งก็ย่อมเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามมาตรา 172 วรรค 2 แล้วไม่จำต้องกล่าวถึงว่าเสียหายเป็นค่าอะไรเท่าใด เพราะเป็นรายละเอียด ซึ่งจะต้องนำสืบกันในเวลาพิจารณา
ย่อยาว
จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 14 เดือนตุลาคมพุทธศักราช 2498
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างขับรถยนต์บรรทุกและรับส่งคนโดยสารของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2497 จำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ไปในทางการที่จ้าง แต่ได้ทำการโดยประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้รถนั้นทับเด็กหญิงหมวยเล็กแซ่ตั้ง บาดเจ็บสาหัสพิการตลอดชีวิต ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนรวมเป็นเงิน 40,000 บาท
จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีมีข้อความหลายประการ และในที่สุดตัดฟ้องว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายว่าค่าเสียหายและค่าสินไหมนั้นคืออะไรบ้าง ทำให้จำเลยเสียเปรียบไม่อาจแก้คดีได้ถูกต้อง
ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ในข้อที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่
ศาลชั้นต้นรับวินิจฉัยคำร้องของจำเลย แต่เห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม จึงให้ยกคำร้องของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ฟ้องของโจทก์บรรยายไว้แล้วซึ่งค่าใช้จ่ายอันโจทก์ต้องเสียไปเพราะการละเมิดของจำเลย รวมทั้งค่าสินไหมทดแทนที่เด็กหญิงหมวยเล็กควรได้รับเพราะตกเป็นคนพิการ ไม่อาจประกอบการงานได้ตลอดชีวิต จำเลยย่อมเข้าใจข้อหาได้ดีว่าโจทก์เรียกร้องค่าเสียหายอะไรบ้าง จึงพิพากษายืน ให้ค่าธรรมเนียมชั้นศาลอุทธรณ์เป็นพับ และให้จำเลยเสียค่าทนาย 200 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาได้ประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ว ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้มีว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรค 2 บัญญัติว่า “คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น” ศาลฎีกาพิเคราะห์ฟ้องของโจทก์แล้วเห็นว่า โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยขับรถโดยความประมาททับเด็กหญิงหมวยเล็ก บาดเจ็บสาหัส ทำให้พิการตลอดชีวิต โจทก์ต้องเสียเวลารักษานาน 3 เดือน ต้องเสียค่าห้องที่พัก ค่ายาค่ารักษาบาดแผล ค่าใช้จ่ายยานพาหนะไปมาดูแล กับค่าจ้างคนเฝ้ารักษาพยาบาล คิดเป็นค่าเสียหายไม่ต่ำกว่า10,000 บาท และขอคิดค่าสินไหมทดแทน เพราะทำให้เป็นคนพิการไปตลอดชีวิตเดินไปมาไม่สะดวก ไม่สามารถประกอบการงานทั้งในปัจจุบันและอนาคตเหมือนคนธรรมดา ต้องทนทุกข์ระทมใจไปจนตลอดชีวิต ได้รับความเสียหายแก่ร่างกายเป็นอย่างมาก เมื่อจะคิดเป็นค่าสินไหมทดแทนต้องเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 30,000 บาท รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น 40,000 บาทจึงขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนใช้โจทก์ 40,000 บาท ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์จึงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหารวมทั้งคำขอบังคับด้วยเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรค 2 และจำเลยเข้าใจฟ้องได้ดีแล้ว ส่วนที่ว่าโจทก์เสียหายเป็นค่าอะไรเท่าไรนั้นเป็นรายละเอียดซึ่งจะต้องนำสืบกันในเวลาพิจารณา หาจำต้องกล่าวไว้ในฟ้องไม่ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้ยกคำร้องของจำเลยชอบแล้ว ส่วนข้อที่จำเลยคัดค้านเรื่องค่าธรรมเนียมที่ศาลอุทธรณ์สั่งให้เป็นพับแก่จำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจชอบแล้ว
จึงพิพากษายืน ค่าธรรมเนียมชั้นฎีกาครั้งนี้ให้เป็นพับแก่จำเลย