คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4969/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้จึงให้งบสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องพิพากษายกฟ้อง เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย อันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24การที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้สืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปจึงเป็นการอุทธรณ์คำสั่งตามมาตรา 227 ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาทตามตาราง 1 ข้อ 2 ข. ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมิใช่เสียตามทุนทรัพย์ที่พิพาท ศาลอุทธรณ์จดรายงานกระบวนพิจารณาสั่งให้ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าขึ้นศาลจากโจทก์ตามทุนทรัพย์โดยไม่ชอบและเป็นเหตุให้โจทก์สำคัญผิดว่าโจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มตามทุนทรัพย์ที่พิพาท โจทก์จึงยื่นคำร้องขอลดจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องลง ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าโจทก์จะยื่นคำร้องขอลดจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องในชั้นอุทธรณ์มิได้ ให้ยกคำร้องนั้นจึงเป็นการไม่ชอบเช่นกันปัญหานี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง

ย่อยาว

คดีสี่สำนวนนี้ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษากับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7289/2538 ของศาลชั้นต้น แต่คดีดังกล่าวไม่ขึ้นมาสู่ศาลฎีกาคงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีสี่สำนวนนี้
คดีสี่สำนวนนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสี่สำนวนและโจทก์ในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7289/2538 ของศาลชั้นต้นฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสี่สำนวนและโจทก์คดีดังกล่าวรวมเป็นเงิน 17,652,390 บาท โดยโจทก์ทั้งสี่สำนวนและโจทก์คดีดังกล่าวขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาแล้วเห็นว่า คดีของโจทก์ทั้งสามสิบเก้าไม่มีมูลที่จะฟ้องร้อง ให้ยกคำร้องหากโจทก์ทั้งสามสิบเก้าประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป ก็ให้โจทก์ทั้งสามสิบเก้าชำระค่าธรรมเนียมภายใน 15 วัน โจทก์ทั้งสามสิบเก้าอุทธรณ์คำสั่งศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า ที่ศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ทั้งสามสิบเก้านั้น ชอบแล้ว ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ทั้งสามสิบเก้า หากโจทก์ทั้งสามสิบเก้าหรือโจทก์คนใดคนหนึ่งยังติดใจดำเนินคดีต่อไป ก็ให้โจทก์ทั้งสามสิบเก้าหรือโจทก์คนใดคนหนึ่งแล้วแต่กรณีนำเงินค่าขึ้นศาลมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันทราบคำสั่ง โจทก์ทั้งสามสิบเก้านำเงินค่าขึ้นศาลมาชำระตามจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องแล้ว
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดสืบพยานโจทก์ทั้งสามสิบเก้าและจำเลยทั้งห้า และวินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสามสิบเก้าไม่มีอำนาจฟ้องพิพากษายกฟ้อง โจทก์ทั้งสามสิบเก้าอุทธรณ์ขอให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยให้พิจารณาสืบพยานโจทก์ทั้งสามสิบเก้าและจำเลยทั้งห้าต่อไป
ศาลอุทธรณ์จดรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2538 ว่า ศาลชั้นต้นได้พิพากษาคดียกฟ้องโจทก์ตามคำให้การของจำเลยที่ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากได้มีพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดฯ จำเลยที่ 1 กับพวกจึงพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง ฉะนั้นเมื่อโจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวก็ต้องถือว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ให้ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าขึ้นศาลจากโจทก์แต่ละสำนวนเสียก่อน ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสามสิบเก้าเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ภายใน 1 เดือน โจทก์ทั้งสามสิบเก้าขนขยายระยะเวลาวางเงินค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นอนุญาต ต่อมาโจทก์ทั้งสามสิบเก้าได้ยื่นคำร้องขอลดจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องของแต่ละคนลงจากเดิมจำนวนเงิน 17,652,390 บาท เหลือ 7,142,635 บาท และได้ชำระค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์จำนวนเงิน 178,565 บาท ศาลชั้นต้นจึงส่งคำร้องขอลดจำนวนทุนทรัพย์ไปศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณา ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า การขอลดจำนวนทุนทรัพย์ถือเป็นการขอแก้ไขคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179(1) ซึ่งโจทก์ทั้งสามสิบเก้าจะต้องดำเนินการในศาลชั้นต้นและตามกำหนดระยะเวลาที่กำหนดไว้ในมาตรา 180 ฉะนั้นโจทก์ทั้งสามสิบเก้าจะยื่นคำร้องขอลดจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องในชั้นอุทธรณ์ได้ ให้ยกคำร้อง
โจทก์ที่ 16 ถึงที่ 39 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ที่ 16 ถึงที่ 39 ฎีกาว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์ผิดระเบียบ เพราะคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโจทก์ที่ 16 ถึงที่ 39 และจำเลยทั้งห้าเป็นคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย การอุทธรณ์คำสั่งชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวมิใช่อุทธรณ์คำพิพากษา จึงไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ในคดีนั้น เห็นว่า คดีสี่สำนวนนี้ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้จึงให้งดสืบพยานโจทก์ที่ 16 ถึงที่ 39 และจำเลยทั้งห้าและวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 16 ถึงที่ 39 ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้องเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมาย อันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24การที่โจทก์ที่ 16 ถึงที่ 39 อุทธรณ์ จึงเป็นการอุทธรณ์คำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 227 ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ตามตาราง 1 ข้อ 2 ข. ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มิใช่เสียตามทุนทรัพย์ที่พิพาท ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์จดรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2538สั่งให้ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าขึ้นศาลจากโจทก์ที่ 16 ถึงที่ 39เสียก่อนในอัตราสองบาทห้าสิบสตางค์ต่อทุกหนึ่งร้อยบาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง และบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ 1(ก) โดยให้หักค่าขึ้นศาลสำนวนละ 200 บาท ที่โจทก์ที่ 16 ถึงที่ 39 ได้ชำระไว้แล้วรวมเข้าเป็นค่าขึ้นศาลด้วย จึงเป็นการไม่ชอบ และเป็นเหตุให้โจทก์ที่ 16 ถึงที่ 39 สำคัญผิดว่าโจทก์ที่ 16 ถึงที่ 39ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่พิพาท โจทก์ที่ 16 ถึงที่ 39จึงยื่นคำร้องขอลดจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องของแต่ละคนลง ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า โจทก์ที่ 16 ถึงที่ 39 จะยื่นคำร้องขอลดจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องในชั้นอุทธรณ์มิได้ ให้ยกคำร้องนั้นจึงเป็นการไม่ชอบเช่นกัน การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้โจทก์ที่ 16ถึงที่ 39 เสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์ไม่ถูกต้องดังกล่าวเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยได้เอง เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์ที่ 16 ถึงที่ 39 ต่อไป
พิพากษายกคำสั่งศาลอุทธรณ์ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2538 และคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ให้ยกคำร้องขอลดจำนวนทุนทรัพย์ของโจทก์ที่ 16 ถึงที่ 39 ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาคดีตามอุทธรณ์ของโจทก์ที่ 16 ถึงที่ 39 ต่อไปตามรูปคดี

Share