แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดเรื่องการเบียดบังเงินค่าอาหารกลางวันของนักเรียนโรงเรียนบ้านตะโกล่าง ผู้เสียหายที่ 2 เป็นของตนโดยทุจริต มิใช่ความผิดเกี่ยวพันกับความผิดเรื่องการเบียดบังเงินทุนอุดหนุนช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการศึกษาของนักเรียนที่อยู่ห่างไกลกันดารและขาดแคลนเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยทุจริต ดังนั้น เมื่อพนักงานสอบสวนมิได้แจ้งข้อหาเรื่องการเบียดบังเงินทุนอุดหนุนช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการศึกษาของนักเรียนที่อยู่ห่างไกลกันดารและขาดแคลนเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยทุจริต จำเลยที่ 1 ย่อมไม่มีโอกาสที่จะใช้สิทธิแก้ข้อกล่าวหาและแสดงข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์แก่ตนสำหรับความผิดเรื่องนี้ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 134 วรรคสี่ และถึงแม้ว่าพนักงานสอบสวนจะแจ้งข้อหาแก่จำเลยที่ 1 ว่า กระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต แต่ก็เป็นการแจ้งข้อหาเกี่ยวกับความผิดเรื่องการเบียดบังเงินค่าอาหารกลางวันของนักเรียนโรงเรียนบ้านตะโกล่าง ผู้เสียหายที่ 2 เป็นของตนโดยทุจริตเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น กรณีจึงมิอาจถือได้ว่ามีการสอบสวนความผิดเรื่องการเบียดบังเงินทุนอุดหนุนช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการศึกษาของนักเรียนที่อยู่ห่างไกลกันดารและขาดแคลนเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยทุจริตแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดเรื่องนี้ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ว่าจำเลยที่ 1 จะไม่ได้ยกขึ้นในชั้นอุทธรณ์ แต่ก็ยังมีสิทธิยกขึ้นในชั้นฎีกาได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งแปดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 147, 157 ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันคืนเงิน 99,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1 และ 139,380 แก่ผู้เสียหายที่ 2 ให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 8 ร่วมกันคืนเงิน 24,210 บาท 4,100 บาท 4,450 บาท 4,000 บาท 5,300 บาท และ 4,400 บาท ตามลำดับ แก่ผู้เสียหายที่ 2
จำเลยทั้งแปดให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 จำคุก 5 ปี ทางนำสืบของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน ข้อหาและคำขออื่นให้ยก ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดเรื่องการเบียดบังเงินทุนอุดหนุนช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการศึกษาของนักเรียนที่อยู่ห่างไกลกันดารและขาดแคลนเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยทุจริตหรือไม่ ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า พนักงานสอบสวนมิได้แจ้งข้อหาความผิดเรื่องดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1 ย่อมถือไม่ได้ว่ามีการสอบสวนความผิดเรื่องนี้แล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 นั้น เห็นว่า เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2551 จำเลยที่ 1 ไปพบพนักงานสอบสวนเพื่อมอบตัวต่อสู้คดี พนักงานสอบสวนรับมอบตัวโดยแจ้งข้อหาเฉพาะเรื่องการเบียดบังเงินค่าอาหารกลางวันของนักเรียนโรงเรียนบ้านตะโกล่าง ผู้เสียหายที่ 2 เป็นของตนโดยทุจริต ตามบันทึกการแจ้งข้อหา ต่อมาพนักงานสอบสวนถามคำให้การจำเลยที่ 1 โดยแจ้งข้อหาเช่นเดิม ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา ซึ่งความผิดเรื่องการเบียดบังเงินค่าอาหารกลางวันของนักเรียนโรงเรียนบ้านตะโกล่างผู้เสียหายที่ 2 เป็นของตนโดยทุจริต มิใช่ความผิดเกี่ยวพันกับความผิดเรื่องการเบียดบังเงินทุนอุดหนุนช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการศึกษาของนักเรียนที่อยู่ห่างไกลกันดารและขาดแคลนเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยทุจริต ดังนั้น เมื่อพนักงานสอบสวนมิได้แจ้งข้อหาเรื่องการเบียดบังเงินทุนอุดหนุนช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการศึกษาของนักเรียนที่อยู่ห่างไกลกันดารและขาดแคลนเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยทุจริต จำเลยที่ 1 ย่อมไม่มีโอกาสที่จะใช้สิทธิแก้ข้อกล่าวหาและแสดงข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์แก่ตนสำหรับความผิดเรื่องนี้ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 วรรคสี่ และถึงแม้ว่าพนักงานสอบสวนจะแจ้งข้อหาแก่จำเลยที่ 1 ว่า กระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต หรือโดยทุจริตยอมให้ผู้อื่นเอาทรัพย์นั้นเสีย และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต แต่ก็เป็นการแจ้งข้อหาเกี่ยวกับความผิดเรื่องการเบียดบังเงินค่าอาหารกลางวันของนักเรียนโรงเรียนบ้านตะโกล่างผู้เสียหายที่ 2 เป็นของตนโดยทุจริตเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น กรณีจึงมิอาจถือได้ว่ามีการสอบสวนความผิดเรื่องการเบียดบังเงินทุนอุดหนุนช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการศึกษาของนักเรียนที่อยู่ห่างไกลกันดารและขาดแคลนเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยทุจริตแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1ในความผิดเรื่องนี้ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ว่าจำเลยที่ 1 จะไม่ได้ยกขึ้นในชั้นอุทธรณ์ แต่ก็ยังมีสิทธิยกขึ้นในชั้นฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังขึ้น กรณีจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อต่อไปว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดเรื่องการเบียดบังเงินทุนอุดหนุนช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการศึกษาของนักเรียนที่อยู่ห่างไกลกันดารและขาดแคลนเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยทุจริตตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7