คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4968/2551

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยสำคัญผิดว่าผู้ตายกับพวกจะเข้ามาลักผลไม้ในไร่และผู้ตายเดินเข้ามาจะทำร้ายจำเลย แต่ผู้ตายไม่ได้มีอาวุธหรือพูดข่มขู่หรือมีกิริยาอาการว่าจะทำร้ายจำเลยโดยวิธีใดอันจะทำให้จำเลยได้รับอันตรายร้ายแรง หากจำเลยเพียงแต่ยิงขู่ก็น่าจะเป็นการเพียงพอที่จะทำให้ผู้ตายเกรงกลัวและหลบหนีไปได้เพราะผู้ตายมิใช่คนร้าย การที่จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองยาวยิงผู้ตายที่บริเวณหน้าท้อง 1 นัด จนผู้ตายล้มลงแล้วจำเลยยังใส่กระสุนปืนลูกซองเข้าไปใหม่แล้วยิงผู้ตายที่ศีรษะซ้ำอีก 1 นัด จนถึงแก่ความตาย จึงเป็นการกระทำโดยป้องกันอันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตาม ป.อ. มาตรา 69 และความสำคัญผิดของจำเลยเกิดขึ้นโดยความประมาท เนื่องจากมิได้ใช้ความระมัดระวังพิจารณาให้รอบคอบว่าผู้ตายกับพวกเป็นคนร้ายจริงไม่ จำเลยจึงมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา 291 โดยผลของมาตรา 62 วรรคสองด้วย ซึ่งแม้จะแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวมาในฟ้อง แต่เป็นการต่างกันระหว่างการกระทำความผิดโดยเจตนากับประมาท ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสองและวรรคสาม ประกอบด้วยมาตรา 215 และ 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2544 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยได้กระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ จำเลยมีอาวุธปืนลูกซองยาว ขนาด 12 จำนวน 1 กระบอก มีเครื่องหมายระเบียบของเจ้าพนักงานประทับไว้ กับกระสุนปืนลูกซองขนาด 12 จำนวน 4 นัด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และจำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายนันผู้ตาย จำนวน 2 นัด โดยเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกผู้ตายที่บริเวณท้องด้านขวาและหน้าผากเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 91, 33, 32 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 72 ริบปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่ให้ริบ (ปลอกกระสุนปืน) ของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม ให้ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่น จำคุก 15 ปี ฐานมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 15 ปี 6 เดือน คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 10 ปี 4 เดือน ริบปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นที่ยุติได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง มีคนร้ายใช้อาวุธปืนลูกซองยาวยิงนายนันผู้ตาย 2 นัด กระสุนปืนถูกผู้ตายที่บริเวณท้องด้านขวาและหน้าผาก เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่ โจทก์มีนายวิชัยหรือซ้งเจ้าของไร่ที่เกิดเหตุเป็นพยานเบิกความว่า คืนเกิดเหตุ ขณะที่พยานนอนอยู่ที่ห้องโถงในบ้านพักซึ่งตั้งอยู่ในไร่ที่เกิดเหตุ มีคนมาเคาะประตูหลังบ้านและพูดว่า “ช่วยเปิดประตูให้หน่อย” พยานไปเปิดประตูไม้แต่ไม่ได้เปิดประตูลูกกรงเหล็ก โดยขณะนั้นพยานได้เปิดไฟนีออนยาวอยู่บนตัวบ้าน พยานเห็นชายคนหนึ่งถืออาวุธปืนลูกซองยาวมาบอกว่า “ผมยิงคนตาย จะเอาปืนมาฝาก” พยานถามว่า “ยิงที่ไหน” ชายดังกล่าวตอบว่ายิงที่กระท่อมซึ่งอยู่ปลายไร่ของพยาน ระหว่างนั้นมีหญิงคนหนึ่งมายืนร้องให้ที่หน้าบ้านและบอกพยานว่า “เถ้าแก่นายนัน (ผู้ตาย) ถูกยิงตายแล้ว” เมื่อมีคนมาเรียกพยาน ชายคนดังกล่าวก็หลบหนีไป พยานเปิดประตูลูกกรงเหล็กออกไป พบอาวุธปืนลูกซองยาว 1 กระบอก ของชายดังกล่าววางอยู่ พร้อมกับกระสุนปืนลูกซอง 2 นัด และปลอกกระสุนปืนลูกซอง 1 ปลอก ส่วนหญิงที่มาเรียกพยานคือนางวันดีหรือบัว คนงานในไร่ เมื่อพยานไปดูที่ท้ายไร่เห็นผู้ตายถูกยิงถึงแก่ความตายนอนตะแคงอยู่ข้างกระท่อมท้ายไร่หลังเกิดเหตุไม่ถึง 1 สัปดาห์ เจ้าพนักงานตำรวจนำภาพถ่ายหมาย จ.2 ให้พยานดู พยานจำได้ว่าเป็นภาพถ่ายของชายที่นำอาวุธปืนลูกซองยาวไปฝากพยานในคืนเกิดเหตุ โดยเจ้าพนักงานตำรวจบอกว่าชายดังกล่าวชื่อนายจีรศักดิ์ซึ่งก็คือจำเลยคดีนี้ (พยานชี้จำเลยในห้องพิจารณา) เห็นว่า นายวิชัยพยานโจทก์ไม่เคยรู้จักหรือเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าพยานจะเบิกความให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยโดยปราศจากมูลความจริง ขณะที่พยานเห็นจำเลยไปยืนอยู่ที่หน้าประตูหลังบ้านของพยาน ก็ได้ความจากคำเบิกความของพยานปากนี้ว่า พยานเห็นจำเลยในระยะใกล้เพียง 1 เมตร โดยบริเวณดังกล่าวมีแสงไฟฟ้าจากหลอดนีออนยาวส่องสว่าง แม้พยานจะเห็นจำเลยโดยมองผ่านประตูลูกกรงเหล็กซึ่งติดมุ้งลวด ก็ไม่น่าจะเป็นอุปสรรคต่อการที่พยานจะมองเห็นจำเลยได้ ประกอบกับจำเลยเป็นคนแปลกหน้าที่ไปเคาะประตูเรียกพยานในยามวิกาล และจะขอฝากอาวุธปืนลูกซองยาวไว้ พยานย่อมจะต้องสนใจจ้องมองว่าบุคคลดังกล่าวเป็นใคร ทั้งยังได้ความจากคำเบิกความของพยานว่า พยานได้พูดคุยกับจำเลยเป็นเวลานานประมาณ 2 ถึง 3 นาทีด้วย พยานย่อมมีโอกาสที่จะจดจำหน้าจำเลยได้อย่างแม่นยำ แม้พยานจะเบิกความว่าจำไม่ได้ว่าจำเลยแต่งกายอย่างไร ก็ไม่ใช่ข้อสำคัญเพราะขณะนั้นพยานอาจไม่ทันได้สังเกตการแต่งกายของจำเลยก็ได้ จึงหาเป็นข้อพิรุธของพยานดังที่จำเลยฎีกาไม่ สำหรับอาวุธปืนลูกซองยาวที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยนำไปฝากนายวิชัยไว้นั้น ได้ความจากคำเบิกความของนายอุทัยน้องจำเลยพยานโจทก์ว่า เป็นอาวุธปืนมีเครื่องหมายทะเบียนที่พยานซื้อมาจากนางหนูเพียรเมื่อปี 2541 ตามหนังสือสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.14 และโจทก์นำสืบว่าชั้นสอบสวนนายอุทัยได้ให้การไว้ต่อพนักงานสอบสวนตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.13 ซึ่งนายอุทัยได้ลงลายมือชื่อรับรองความถูกต้องไว้ โดยนายอุทัยให้การเกี่ยวกับอาวุธปืนลูกซองยาวดังกล่าวไว้ว่า ก่อนเกิดเหตุ พยานได้ปรึกษากับจำเลยว่าหากไม่มีคนเฝ้าไร่ที่เกิดเหตุที่พยานเช่าจากนายวิชัย พยานเกรงว่าจะมีคนมาลักผลไม้ เนื่องจากเก็บเกี่ยวได้แล้ว ต่อมาเวลาประมาณ 22 นาฬิกา พยานกับจำเลยไปที่ไร่ที่เกิดเหตุและพยานได้ให้จำเลยเผ้าไร่โดยพยานมอบอาวุธปืนลูกซองยาวของกลางให้จำเลยไว้ด้วย ส่วนพยานกลับไปบ้านซึ่งอยู่อีกตำบลหนึ่ง ครั้นเวลาเที่ยงคืนเศษ นางรัตนาเจ้าของไร่ได้โทรศัพท์แจ้งแก่พยานว่า คนงานของพยานเอาอาวุธปืนลูกซองยาวยิงคนในไร่ พยานจึงไปยังไร่ที่เกิดเหตุแต่ไม่พบจำเลยอยู่ที่ไร่ที่เกิดเหตุ เห็นว่า นายอุทัยเป็นน้องจำเลยและให้การต่อพนักงานสอบสวนภายหลังเกิดเหตุเพียง 3 วัน จึงเชื่อได้ว่านายอุทัยให้การต่อพนักงานสอบสวนไปตามความสัตย์จริงโดยมิได้บิดเบือนข้อเท็จจริงให้เป็นผลร้ายแก่จำเลย ส่วนที่นายอุทัยเบิกความปฏิเสธความถูกต้องของบันทึกคำให้การดังกล่าวโดยอ้างว่า พนักงานสอบสวนไม่ได้อ่านข้อความในบันทึกคำให้การดังกล่าวให้พยานฟังก็ดีและที่เบิกความอ้างว่าจำเลยไม่เคยไปทำไร่กับพยานก็ดี น่าเชื่อว่าจะเป็นการเบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยพี่ของตนให้พ้นจากความผิดจึงไม่ควรนำมารับฟังเป็นประโยชน์แก่จำเลย ทั้งยังได้ความจากคำเบิกความของนายศักดิ์ชัยลูกจ้างทำไร่ของนายอุทัยพยานโจทก์ว่า ช่วงเกิดเหตุจำเลยได้ไปช่วยนายอุทัยทำไร่ในไร่ที่เกิดเหตุจริงและพยานเคยเห็นจำเลยถืออาวุธปืนลูกซองยาวดังกล่าวไปเฝ้าไร่ที่เกิดเหตุ กับได้ความจากคำให้การในชั้นสอบสวนของนายศักดิ์ชัยตามเอกสารหมาย ป.จ.1 ว่าก่อนเกิดเหตุคดีนี้ 2 ชั่วโมงเศษ ก่อนที่พยานจะเข้านอนพยานก็พบจำเลยอยู่ที่บ้านพักนายอุทัย ซึ่งสอดคล้องกับคำให้การในชั้นสอบสวนของนายอุทัยดังกล่าว ทำให้คำให้การในชั้นสอบสวนของนายอุทัยดังกล่าวมีน้ำหนักน่ารับฟังยิ่งขึ้น พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวเมื่อนำมารับฟังประกอบกันแล้ว จึงมีน้ำหนักและเหตุผลให้เชื่อได้ว่า ประมาณ 2 ชั่วโมงก่อนเกิดเหตุนายอุทัยได้พาจำเลยไปที่กระท่อมท้ายไร่ที่เกิดเหตุเพื่อให้จำเลยเฝ้าไร่แทนนายแดง โดยนายอุทัยมอบอาวุธปืนลูกซองยาวของกลางพร้อมกระสุนปืนลูกซองอีก 4 นัด ให้จำเลยไว้ใช้เฝ้าไร่ด้วย และภายหลังจากที่ผู้ตายถูกยิงถึงแก่ความตายอยู่ข้างกระท่อมท้ายไร่ที่เกิดเหตุแล้ว จำเลยได้หลบหนี้ไป พฤติการณ์ของจำเลยที่หลบหนีก็เป็นข้อพิรุธของจำเลยที่ส่อแสดงว่าจำเลยได้กระทำความผิดจึงต้องหลบหนี สำหรับเหตุการณ์ที่ผู้ตายถูกอาวุธปืนลูกซองยาวยิงถึงแก่ความตายอยู่ข้างกระท่อมท้ายไร่ที่เกิดเหตุนั้น แม้โจทก์จะไม่สามารถติดตามตัวนายทองพูนเพื่อนร่วมงานของผู้ตาย ซึ่งรู้เห็นเหตุการณ์ที่ผู้ตายถูกยิงมาเบิกความพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ แต่โจทก์ก็ได้ส่งบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของนายทองพูนตามเอกสารหมาย จ.19 เป็นพยาน โดยมีพันตำรวจโทธวัชชัยพนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความรับรองว่า ชั้นสอบสวนพยานได้สอบปากคำนายทองพูนและบันทึกคำให้การไว้ตามเอกสารดังกล่าวจริง ซึ่งศาลฎีกาได้ตรวจดูแล้วปรากฏว่านายทองพูนได้ให้การไว้ว่า ก่อนเกิดเหตุพยานกับผู้ตายซึ่งเป็นคนงานในไร่วงศ์เกษตรของนายวิชัยพากันไปดูหมอลำที่บ้านงานบวชในหมู่บ้าน จนกระทั่งเวลา 23.30 นาฬิกา ก็พากันเดินทางกลับ โดยพยานกับผู้ตายได้แวะไปหาพ่อใหญ่ ซึ่งเป็นคนเฝ้าไร่มะขามให้พาไปหานายแดงคนงานเฝ้าไร่ของนายอุทัยที่กระท่อมท้ายไร่ที่เกิดเหตุ เนื่องจากผู้ตายต้องการสอบถามนายแดงว่าทำไมไม่ไปเที่ยวด้วยกันตามที่นัดหมายไว้ โดยพยานได้เดินร้องเพลงตามหลังผู้ตายไปตลอดทางเพราะทราบว่านายแดงมีอาวุธปืน หากไม่ใช่คนในไร่อาจถูกยิง เมื่อไปถึงกระท่อมที่เกิดเหตุ คนในกระท่อมพูดว่า “อย่าเข้ามานะเดี๋ยวกูยิง” แต่เสียงพูดดังกล่าวไม่เหมือนเสียงนายแดง แล้วมีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด ผู้ตายร้องโอ้ย ๆ พ่อใหญ่วิ่งหนีกลับไปทางที่มาส่วนพยานวิ่งไปบอกนางวันดีภริยาผู้ตาย เมื่อพยานกับนางวันดีพากันไปที่เกิดเหตุอีกครั้ง ก็เห็นผู้ตายถูกยิงที่หน้าและเสียชีวิตแล้ว พยานทราบว่าคนยิงได้เอาอาวุธปืนลูกซองยาวที่ยิงไปมอบให้เถ้าแก่ซ้ง (นายวิชัย) เห็นว่า นายทองพูนได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนในวันเกิดเหตุนั้นเอง ย่อมไม่ทันมีโอกาสคิดไตร่ตรองเพื่อปรักปรำหรือช่วยเหลือผู้ใดผู้หนึ่งที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ น่าเชื่อว่านายทองพูนให้การไปตามความสัตย์จริงตามเหตุการณ์ที่ตนพบเห็นมา แม้คำให้การในชั้นสอบสวนของประจักษ์พยานโจทก์ดังกล่าวจะเป็นพยานบอกเล่าแต่น่าเชื่อว่านำมารับฟังเพื่อพิสูจน์ความจริงได้ ศาลจึงนำมารับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์เพื่อลงโทษจำเลยได้ โจทก์ยังมีดาบตำรวจถาวรผู้จับกุมจำเลยเป็นพยานเบิกความว่า หลังเกิดเหตุ 4 เดือนเศษ พยานติดตามจับกุมจำเลยได้ตามหมายจับ พยานสอบถามแล้ว จำเลยได้ให้การรับสารภาพว่า จำเลยเป็นผู้ใช้อาวุธปืนลูกซองยาวยิงผู้ตายถึงแก่ความตายจริงตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.7 ที่จำเลยได้ลงลายมือชื่อรับรองความถูกต้องไว้ คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมของจำเลยดังกล่าวเป็นคำรับสารภาพของผู้ถูกจับก่อนที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84 วรรคสุดท้าย ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมใหม่โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 22) พ.ศ.2547 จะมีผลใช้บังคับ ศาลจึงนำคำรับสารภาพในชั้นจับกุมของจำเลยดังกล่าวมาฟังประกอบการลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 นอกจากนี้โจทก์ยังมีพันตำรวจโทศักดาพนักงานสอบสวนเป็นพยานเบิกความอีกว่า ชั้นสอบสวนจำเลยยังคงให้การรับสารภาพเช่นเดียวกับชั้นจับกุม ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.12 ที่จำเลยลงลายมือชื่อรับรองความถูกต้องไว้ด้วย ซึ่งศาลฎีกาได้ตรวจดูแล้วก็ปรากฏว่า จำเลยได้ให้การเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองยาวของกลางยิงผู้ตายสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่นายทองพูนให้การไว้ดังกล่าวข้างต้นในข้อสาระสำคัญ และจำเลยยังได้ให้การเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จำเลยนำอาวุธปืนลูกซองยาวของกลางไปฝากไว้กับนายวิชัยระหว่างเกิดเหตุสอดคล้องกับคำเบิกความของนายวิชัยในข้อสาระสำคัญด้วย ทั้งจำเลยยังได้นำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพดังกล่าวให้พนักงานสอบสวนถ่ายรูปไว้ ตามภาพถ่ายหมาย จ.9 อีกด้วย ส่วนภาพถ่ายหมาย จ.9 ภาพที่ 5 ที่จำเลยแสดงท่านำอาวุธปืนลูกซองยาวและกระสุนปืนลูกซองของกลางไปฝากไว้กับนายวิชัย โดยจำเลยส่งมอบให้นายวิชัยรับไปซึ่งแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่นายวิชัยเบิกความไว้ว่าจำเลยวางอาวุธปืนลูกซองยาวและกระสุนปืนลูกซองไว้นอกบ้านนั้นเห็นว่าเป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดหาใช่ข้อสำคัญไม่ จึงไม่เป็นข้อพิรุธของพยานโจทก์ถึงกับทำให้คำรับสารภาพของจำเลยรับฟังไม่ได้ดังที่จำเลยอ้างมาในฎีกา และที่จำเลยฎีกาอ้างว่าจำเลยมีจ่าสิบตำรวจรัชตระกูลเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอเทพสถิตย์เป็นพยานเบิกความว่า พยานเป็นคนพาเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอปากช่องไปจับกุมจำเลยที่วัดเขาบังเหย เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอปากช่องแสดงหมายจับและแจ้งข้อหาแก่จำเลย จำเลยให้การปฏิเสธนั้น ข้อนำสืบของจำเลยดังกล่าวก็ไม่น่าจะเป็นประโยชน์แก่จำเลยเพราะพยานปากนี้ให้การตอบคำถามค้านของโจทก์ว่า พยานไม่ได้ร่วมลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุมด้วย นอกจากนี้ศาลฎีกาได้ตรวจบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.7 แล้ว ปรากฏว่าสถานที่ทำบันทึกการจับกุมคือสถานีตำรวจภูธรอำเภอปากช่องหาได้ทำขึ้นที่วัดเขาบังเหยสถานที่จับกุมจำเลยไม่ ทั้งพยานจำเลยปากนี้ก็เบิกความตอบคำถามติงของทนายจำเลยยอมรับว่า ขณะทำบันทึกการจับกุมดังกล่าว พยานไม่ได้อยู่ที่สถานที่ทำบันทึกการจับกุมด้วย ดังนั้นจึงน่าเชื่อว่าเมื่อดาบตำรวจถาวรผู้จับกุมจำเลยพยานโจทก์นำตัวจำเลยไปที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอปากช่องแล้วจึงมีการแจ้งข้อหาและสอบถามคำให้การจำเลยอย่างเป็นทางการ เพื่อทำบันทึกการจับกุมไว้เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ และจำเลยได้ให้การรับสารภาพตามที่มีการบันทึกไว้ในเอกสารดังกล่าว และให้จำเลยลงลายมือชื่อรับรองไว้เป็นหลักฐานดังที่ดาบตำรวจถาวรพยานโจทก์เบิกความไว้ ส่วนที่จำเลยนำสืบและฎีกาโต้เถียงอีกว่า ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน จำเลยมิได้ให้การรับสารภาพโดยสมัครใจเพราะจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจข่มขู่ทำร้ายบังคับให้รับสารภาพ และลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวนั้น เห็นว่า ข้อนำสืบของจำเลยดังกล่าว คงมีแต่ตัวจำเลยเบิกความอ้างลอย ๆ โดยจำเลยไม่มีพยานอื่นมาสนับสนุน จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังเป็นความจริงได้ทั้งไม่น่าเชื่อว่า เจ้าพนักงานตำรวจหรือพนักงานสอบสวนซึ่งไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อนจะปฏิบัติต่อจำเลยโดยมิชอบด้วยอำนาจหน้าที่เพื่อกลั่นแกล้งจำเลยเช่นนั้น เพราะจะเป็นการเสี่ยงต่อการถูกร้องเรียนหรือฟ้องร้องให้รับโทษในภายหลังได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ตามบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.17 ระบุว่า คนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายคือจำเลยขัดแย้งกับรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเอกสารหมาย ล.5 ที่ระบุว่าคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายคือนายแดงนั้น เห็นว่า รายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีดังกล่าว เจ้าพนักงานตำรวจได้กระทำขึ้นเมื่อเวลา 2.15 นาฬิกา ของวันเกิดเหตุหรือภายหลังเกิดเหตุเพียง 1 ชั่วโมงเศษเท่านั้น เจ้าพนักงานตำรวจผู้ลงบันทึกประจำวันดังกล่าว จึงอาจได้ข้อมูลเบื้องต้นคลาดเคลื่อนซึ่งน่าจะเป็นเพราะตามปกติบุคคลที่เฝ้าไร่อยู่ในกระท่อมดังกล่าวคือนายแดง และจากการสืบสวนต่อมาในภายหลังของวันเดียวกันนั้นเอง ข้อเท็จจริงจึงปรากฏชัดว่าคนร้ายนี้คือจำเลย ซึ่งเป็นคนเฝ้าไร่ที่เกิดเหตุแทนนายแดงในคืนเกิดเหตุพนักงานสอบสวนจึงได้ระบุชื่อจำเลยเป็นคนร้ายในบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุดังกล่าว ข้อขัดแย้งดังกล่าวจึงหาเป็นข้อพิรุธถึงกับทำให้พยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้เสียทั้งหมดไม่ แม้จะปรากฏว่านางวันดีภริยาผู้ตายได้มาเป็นพยานโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยไว้ตอนหนึ่งว่าในคืนเกิดเหตุหลังจากผู้ตายถูกยิงแล้ว ขณะที่พยานกับนายทองพูนวิ่งไปที่บ้านนายวิชัยหรือซ้งเพื่อขอความช่วยเหลือ พยานเห็นบ้านนายวิชัยหรือซ้งปิดไฟฟ้าอยู่แล้วนางรัตนาบุตรนายวิชัยได้เปิดไฟฟ้าขึ้นและเป็นคนมาสอบถามพยานว่าใครถูกยิง โดยขณะนั้นพยานยังไม่พบนายวิชัย ซึ่งไม่สอดคล้องกับคำเบิกความของนายวิชัยดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นนั้น เห็นว่า โดยปกติสวิตซ์ปิดวงจรไฟฟ้าจะอยู่ภายในบ้าน ซึ่งคนที่อยู่นอกบ้านไม่น่าจะมอบเห็นได้ ที่นางวันดีพยานโจทก์เบิกความว่านางรัตนาเป็นคนเปิดสวิตซ์วงจรไฟฟ้า น่าจะเป็นการเบิกความโดยการคาดคะเนเพราะพยานเห็นนางรัตนาเป็นคนเปิดประตูบ้าน ออกมาพูดคุยกับพยาน โดยนางรัตนาอาจออกมาพูดคุยกับพยานทางประตูหน้าบ้านส่วนนายวิชัยยังอยู่ทางด้านหลังบ้าน พยานจึงไม่เห็นนายวิชัยในขณะนั้นก็ได้ ข้อแตกต่างดังกล่าวจึงไม่น่าจะเป็นข้อพิรุธของพยานโจทก์ทำให้คำเบิกความของนายวิชัยที่เบิกความเกี่ยวกับจำเลยถึงกับรับฟังไม่ได้ดังที่จำเลยอ้างมาในฎีกา ที่จำเลยนำอาวุธปืนลูกซองยาวของกลางไปฝากไว้กับนายวิชัยก็น่าจะเป็นเพราะอาวุธปืนลูกซองยาวดังกล่าวเป็นอาวุธปืนที่นายอุทัยน้องชายจำเลยซื้อมาและเป็นอาวุธปืนยาวไม่สะดวกในการที่จำเลยจะพาหลบหนี้ไปด้วย ทั้งยังได้ความจากคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยดังกล่าวข้างต้นว่า หลังจากจำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองของกลางยิงผู้ตายแล้ว จำเลยรู้สึกสำนึกในความผิด จึงได้เดินไปหาเจ้าของไร่ที่เกิดเหตุซึ่งมีบ้านพักอยู่ในไร่ที่เกิดเหตุและฝากอาวุธปืนลูกซองยาวของกลางไว้กับเจ้าของไร่ ทั้งยังได้แจ้งให้เจ้าของไร่ทราบด้วยว่า จำเลยยิงผู้ตายโดยคิดว่าเป็นคนร้ายมาขโมยของในไร่ ซึ่งสอดคล้องตรงกับคำเบิกความของนายวิชัยเจ้าของไร่ดังที่ได้วินิจฉัยไว้ข้างต้น ข้อนำสืบของโจทก์ในข้อนี้จึงหาได้ขัดต่อเหตุผลดังที่จำเลยอ้างมาในฎีกาไม่ ส่วนที่พนักงานสอบสวนส่งอาวุธปืนลูกซองยาวพร้อมปลอกกระสุนปืนลูกซองของกลางไปให้ผู้ชำนาญการพิเศษตรวจพิสูจน์แล้ว แม้พันตำรวจตรีศุภฤกษ์ผู้ตรวจพิสูจน์ของกลางพยานโจทก์จะเบิกความว่าพยานไม่อาจยืนยันได้ว่าปลอกกระสุนปืนลูกซองของกลางจะใช้ยิงจากอาวุธปืนลูกซองยาวของกลางหรือไม่ ก็ไม่ได้มีความหมายว่าปลอกกระสุนปืนไม่ได้ใช้ยิงจากอาวุธปืนลูกซองยาวของกลางดังที่จำเลยฎีกา เพราะพันตำรวจตรีศุภฤกษ์พยานโจทก์ได้เบิกความอธิบายว่าเหตุที่ไม่อาจยืนยันได้เช่นนั้นเนื่องจากปลอกกระสุนปืนของกลางมีรอยตำหนิน้อย แต่จากปลอกกระสุนปืนของกลางกับปลอกกระสุนปืนที่ใช้ยิงเปรียบเทียบจากอาวุธปืนลูกซองยาวของกลางก็มีตำหนิรอยเข็มแทงชนวนและรอยลายเส้นที่จานปลอกกระสุนปืนคล้ายคลึงกันตามที่พยานได้ระบุไว้ในรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมาย ป.จ.2 ซึ่งเมื่อนำมารับฟังประกอบกับคำเบิกความของนายวิชัยและคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยดังกล่าวข้างต้นแล้ว แม้จะไม่มีการตรวจลายนิ้วมือจำเลยที่อาวุธปืนลูกซองยาวก็ตาม แต่ก็น่าเชื่อว่าปลอกกระสุนปืนของกลางดังกล่าวเป็นปลอกกระสุนปืนที่จำเลยใช้ยิงผู้ตาย โดยยิงจากอาวุธปืนลูกซองยาวของกลาง ศาลฎีกาได้พิจารณาพยานหลักฐานที่โจทก์นำมาสืบประกอบคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนโดยตระหนักแล้ว เห็นว่ามีน้ำหนักและเหตุผลเพียงพอให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนลูกซองยาวของกลางยิงฆ่าผู้ตายจริงตามฟ้อง เมื่อวินิจฉัยแล้วข้อเท็จจริงย่อมรับฟังได้ต่อไปว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยมีอาวุธปืนลูกซองยาวของกลางไว้ในครอบครองด้วย เมื่อโจทก์นำสืบฟังได้อีกว่า อาวุธปืนลูกซองยาวดังกล่าวมีเครื่องหมายทะเบียน แต่ขณะเกิดเหตุ ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนลูกซองยาวดังกล่าวคืนนางหนูเพียรตามสำเนาใบอนุญาตเอกสารหมาย จ.23 หาใช่จำเลยไม่ และจำเลยได้ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนรวมถึงความผิดดังกล่าวด้วย จึงฟังได้ว่า จำเลยมีความผิดฐานมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตดังที่โจทก์ฟ้องด้วย พยานฐานที่อยู่ของจำเลยไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อคดีนี้ได้ความจากบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของนายทองพูนประจักษ์พยานโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.19 ว่า ขณะเกิดเหตุบริเวณที่เกิดเหตุมืดมากและไม่เปิดไฟที่กระท่อม ผู้ตายและพ่อใหญ่ได้ตะโกนบอกคนในกระท่อมซึ่งเข้าใจว่าเป็นนายแดงว่าผู้ตายเป็นลูกน้องเถ้าแก่ซ้งอยู่ในไร่นี้นะ เพราะทราบว่านายแดงมีอาวุธปืนและมีคนมาขโมยมะม่วงบ่อย ๆ เมื่อผู้ตายเดินไปที่กระท่อม คนในกระท่อมได้พูดว่า “อย่าเข้ามานะ เดี๋ยวกูยิง” แล้วจึงมีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด และผู้ตายร้องโอ๊ย ๆ นอกจากนี้ยังได้ความจากบันทึกคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.19 ว่า คืนเกิดเหตุขณะที่จำเลยนอนอยู่ในกระท่อมจำเลยได้ยินเสียงเอะอะเหมือนคนพูดคุยกันผ่านมายังกระท่อม จำเลยคิดว่าคนที่มาเรียก (นายแดง) น่าจะเป็นคนร้ายที่เข้ามาขโมยผลไม้ในไร่ที่จำเลยเฝ้าอยู่ จำเลยจึงถืออาวุธปืนลูกซองยาวของกลางออกจากกระท่อมและยืนบังอยู่ข้างรถไถ จำเลยเห็นชาย 2 คนซึ่งไม่ทราบว่าเป็นใครเนื่องจากมืดมองไม่เห็นหน้าโดยชาย 2 คนดังกล่าวอยู่ห่างจากจำเลยประมาณ 10 เมตร จำเลยตะโกนร้องถามว่า “ใคร” แต่ชายทั้งสองคนไม่ตอบ และชายคนหนึ่งซึ่งก็คือผู้ตายได้เดินเข้ามาหาจำเลย จำเลยร้องห้ามว่า “อย่าเข้ามานะ ถ้าเข้ามาอีกก้าว ผมจะยิง คนเก่าไม่อยู่นะ” พร้อมกับเล็งอาวุธปืนไปยังผู้ตาย แต่ผู้ตายเดินเข้ามาประชิดตัวจำเลยและปัดอาวุธปืนในมือจำเลย จำเลยเดินถอยหนี แต่ผู้ตายเดินเข้ามาหาจำเลยอีก จำเลยไม่ทราบว่าผู้ตายประสงค์ดีหรือร้าย จึงยิงปืนใส่ผู้ตาย 1 นัด ที่ลำตัวเพื่อป้องกันตัว ผู้ตายล้มลง จำเลยกลัวว่าผู้ตายจะลุกขึ้นมาทำร้ายจำเลยอีก จึงปลดลำกล้องปืนเอากระสุนปืนใส่ใหม่แล้วยิงไปที่ศีรษะผู้ตายอีก 1 นัด จากนั้นจำเลยจึงเดินไปหาเจ้าของไร่ที่เกิดเหตุและฝากอาวุธปืนลูกซองยาวของกลางพร้อมเครื่องกระสุนปืนไว้กับเจ้าของไร่ เห็นว่า จำเลยไม่เคยรู้จักหรือเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ตายมาก่อน ทั้งขณะเกิดเหตุก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยและผู้ตายมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันแต่อย่างไร ตามพฤติการณ์แห่งคดีจึงน่าเชื่อตามที่จำเลยให้การในชั้นสอบสวนว่า จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองยาวของกลางยิงผู้ตายโดยสำคัญผิดว่าผู้ตายกับพวกเป็นคนร้ายจะเข้ามาลักผลไม้ในไร่ที่เกิดเหตุและผู้ตายเดินเข้ามาจะทำร้ายจำเลย แต่ไม่ปรากฏว่าผู้ตายมีอาวุธหรือพูดข่มขู่หรือมีกิริยาอาการว่าจะทำร้ายจำเลยโดยวิธีใด อันจะทำให้จำเลยได้รับอันตรายร้ายแรง หากจำเลยเพียงแต่ยิงขู่ก็น่าจะเป็นการเพียงพอที่จะทำให้ผู้ตายเกรงกลัวและหลบหนีไปได้เพราะผู้ตายหาใช่คนร้ายที่ประสงค์ร้ายต่อจำเลยไม่ การที่จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองยาวของกลางซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงผู้ตายที่บริเวณหน้าท้อง 1 นัด จนผู้ตายล้มลงแล้วจำเลยยังได้ใส่กระสุนปืนลูกซองเข้าไปในรังเพลิงใหม่ แล้วยิงผู้ตายที่ศีรษะซ้ำอีก 1 นัด จนผู้ตายถึงแก่ความตาย เช่นนี้ จึงเป็นการกระทำโดยป้องกันอันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 ซึ่งศาลจะลงโทษน้อยลงกว่าที่กฎหมายกำหนดเพียงใดก็ได้ และตามพฤติการณ์แห่งคดีย่อมเห็นได้ว่าความสำคัญผิดของจำเลยดังกล่าวเกิดขึ้นโดยความประมาทของจำเลย เนื่องจากจำเลยมิได้ใช้ความระมัดระวังพิจารณาให้รอบคอบว่าผู้ตายกับพวกเป็นคนร้ายจริงไม่ เพราะหากผู้ตายกับพวกเป็นคนร้ายจะมาลักผลไม้ในไร่ที่เกิดเหตุ หรือจะมาทำร้ายจำเลยก็ไม่มีเหตุผลที่คนร้ายจะต้องส่งเสียงให้คนเฝ้าไร่รู้ตัว และร้องเรียกชื่อนายแดงซึ่งเป็นคนเฝ้าไร่ที่เกิดเหตุเช่นนั้น จำเลยย่อมต้องมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 โดยผลของมาตรา 62 วรรคสองด้วย ซึ่งแม้จะเป็นข้อแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวมาในฟ้อง แต่ต่างกันระหว่างการกระทำความผิดโดยเจตนากับประมาท ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสองและวรรคสาม ประกอบด้วยมาตรา 215 และ 225 และกรณีนี้เป็นเรื่องกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงต้องลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นโดยป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำโดยสำคัญผิดซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ปัญหาดังกล่าวแม้จำเลยจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้เป็นคุณแก่จำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 215 และ 225 นอกจากนี้ศาลฎีกาเห็นว่าอาวุธปืนลูกซองของกลางเป็นอาวุธปืนที่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้และปลอกกระสุนปืนลูกซองของกลางก็เป็นเครื่องกระสุนปืนที่ใช้กับอาวุธปืนดังกล่าวได้ มิใช่ทรัพย์สินที่มีไว้เป็นความผิด อันจะต้องริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 ทั้งยังได้ความตามทางพิจารณาว่า ปลอกกระสุนปืนของกลางเป็นของผู้อื่นซึ่งไม่ปรากฏว่าได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นของจำเลย จึงไม่อาจริบได้ตามมาตรา 33 ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาริบปลอกกระสุนปืนลูกซองของกลางมาด้วยนั้น จึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องเสียด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับความผิดต่อชีวิตจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 69 และ 62 วรรคแรก กับมาตรา 291 ประกอบด้วยมาตรา 62 วรรคสอง อันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 69 และ 62 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตามมาตรา 90 จำคุก 9 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 6 ปี เมื่อรวมกับโทษฐานมีอาวุธปืน ซึ่งเป็นของผู้อื่นที่ได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้แล้ว เป็นจำคุก 6 ปี 4 เดือน ไม่ริบปลอกกระสุนปืนของกลาง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share