คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4965/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีก่อนจำเลยฟ้องโจทก์ว่าจำเลยเป็นบุตรคนเดียวของห.มีสิทธิรับมรดกคือทรัพย์พิพาทแต่ผู้เดียวประเด็นจึงมีว่าจำเลยเป็นบุตรของห.แต่เพียงคนเดียวและมีสิทธิรับมรดกแต่เพียงผู้เดียวหรือไม่แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าทรัพย์พิพาทเป็นทรัพย์ที่ห.และมารดาโจทก์ทำมาหาได้ร่วมกันจึงเป็นสินสมรสประเด็นจึงมีว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมหรือไม่ประเด็นแห่งคดีนี้กับคดีก่อนจึงเป็นคนละประเด็นกันไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ โจทก์ฟ้องว่าทรัพย์พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างห. และมารดาโจทก์เมื่อมารดาโจทก์ถึงแก่กรรมทรัพย์พิพาทกึ่งหนึ่งของมารดาโจทก์ย่อมตกเป็นมรดกแก่โจทก์และห. คนละส่วนต่อมาห. ได้ยกทรัพย์มรดกส่วนที่ตกได้แก่ห. ให้แก่โจทก์เมื่อจำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธจึงถือว่าจำเลยรับตามข้อกล่าวอ้างโจทก์จึงมีสิทธิในทรัพย์พิพาทกึ่งหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรของนายหากับนางพร พรหมพินิจระหว่างบิดามารดาโจทก์อยู่กินด้วยกันมีทรัพย์สินทำมาหาได้ด้วยกันคือ ที่ดินสองแปลงรวมทั้งบ้านจึงเป็นสินสมรส เมื่อนางพรถึงแก่กรรมทรัพย์พิพาทครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นของนางพร ย่อมตกแก่ทายาทคือโจทก์และนายหาคนละส่วนเท่ากัน ต่อมาปี 2523 นายหาได้บอกยกทรัพย์มรดกส่วนที่ได้รับจากนางพรให้โจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิในทรัพย์พิพาทครึ่งหนึ่ง ขอให้บังคับจำเลยโอนทรัพย์พิพาทให้โจทก์กึ่งหนึ่ง หากไม่สามารถโอนได้ให้เอาทรัพย์พิพาทขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันระหว่างโจทก์กับจำเลยคนละครึ่ง
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นบุตรของนายพิมพ์ โทรเรืองโสมไม่ใช่บุตรของนายหา พรหมพินิจ ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1078/2534 ของศาลชั้นต้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดชี้สองสถาน โจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงว่ากันว่าก่อนฟ้องคดีนี้จำเลยฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1078/2534ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาว่าจำเลยเป็นบุตรของนายหา พรหมพินิจ แต่ผู้เดียว ให้โจทก์โอนทรัพย์พิพาททั้งหมดซึ่งเป็นทรัพย์เดียวกับที่พิพาทคดีนี้ให้จำเลยคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา และคู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงไม่ติดใจสืบพยานโดยขอให้ศาลพิพากษาไปตามคำฟ้อง คำให้การและข้อเท็จจริงที่คู่ความทั้งสองรับกันศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดชี้สองสถาน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ปรากฏว่าระหว่างพิจารณาคดีนี้ ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่1078/2534 แล้วโดยพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 2838/2538 ลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2538ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า ฟ้องโจทก์เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1078/2534 หรือไม่เห็นว่า คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1078/2534 โจทก์ (จำเลยคดีนี้)ฟ้องว่า โจทก์ (จำเลยคดีนี้) เป็นบุตรคนเดียวของนายหามีสิทธิรับมรดกของนายหาคือ ที่ดินและบ้านซึ่งเป็นทรัพย์พิพาทแต่ผู้เดียว เมื่อนายหาถึงแก่กรรม จำเลย (โจทก์คดีนี้)ครอบครองทรัพย์พิพาทและไม่ยอมส่งมอบทรัพย์พิพาทให้โจทก์(จำเลยคดีนี้) ขอให้บังคับจำเลย (โจทก์คดีนี้) ส่งมอบทรัพย์มรดกของนายหาที่ครอบครองคืนโจทก์ทั้งหมด จำเลย (โจทก์คดีนี้)ให้การว่า จำเลย (โจทก์คดีนี้) เป็นบุตรเพียงผู้เดียวของนายหาและโจทก์ (จำเลยคดีนี้) ไม่ได้เป็นบุตรของนายหาซึ่งมีประเด็นว่า โจทก์ (จำเลยคดีนี้) เป็นบุตรของนายหาแต่เพียงคนเดียวและมีสิทธิรับมรดกแต่เพียงผู้เดียวหรือไม่ แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ทรัพย์พิพาทเป็นทรัพย์สินที่นายหาและมารดาโจทก์ทำมาหาได้ร่วมกันจึงเป็นสินสมรส เมื่อมารดาโจทก์ถึงแก่กรรมทรัพย์พิพาทกึ่งหนึ่งของมารดาโจทก์ย่อมตกเป็นมรดกแก่โจทก์และนายหาคนละส่วน ต่อมานายหาได้ยกทรัพย์มรดกส่วนที่ตกได้แก่นายหาให้แก่โจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิในทรัพย์พิพาทกึ่งหนึ่งจำเลยให้การว่าโจทก์ไม่ใช่บุตรนายหา ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1078/2534 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ก็พิพากษาว่า โจทก์ (จำเลยคดีนี้) มีสิทธิในทรัพย์พิพาทแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งมีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมหรือไม่ ดังนั้นประเด็นแห่งคดีนี้และประเด็นแห่งคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1078/2534จึงเป็นคนละประเด็นกันไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาต่อไปที่ต้องวินิจฉัยมีว่า โจทก์มีสิทธิในทรัพย์พิพาทกึ่งหนึ่งหรือไม่ ปัญหาที่ศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวน คดีนี้โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่า ทรัพย์พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างนายหาและมารดาโจทก์ เมื่อมารดาโจทก์ถึงแก่กรรม ทรัพย์พิพาทกึ่งหนึ่งของมารดาโจทก์ย่อมตกเป็นมรดกแก่โจทก์และนายหาคนละส่วนต่อมานายหาได้ยกทรัพย์มรดกส่วนที่ตกได้แก่นายหาให้แก่โจทก์จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธ จึงถือว่าจำเลยรับตามข้อกล่าวอ้างข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า ทรัพย์พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างนายหาและมารดาโจทก์ และนายหาได้ยกทรัพย์มรดกส่วนที่ตกได้แก่นายหาให้แก่โจทก์แล้วดังนั้นโจทก์จึงมีสิทธิในทรัพย์พิพาทกึ่งหนึ่ง ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นเช่นกัน สำหรับปัญหาที่ว่าศาลชั้นต้นมีอำนาจหยิบยกปัญหาการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำขึ้นวินิจฉัยหรือไม่นั้น จึงไม่จำต้องวินิจฉัย เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษากลับ ให้จำเลยแบ่งที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 820 ตำบลหนองลาด อำเภอวาริชภูมิจังหวัดสกลนคร พร้อมบ้าน 1 หลัง และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 104 ตำบลคำบ่อ อำเภอวาริชภูมิจังหวัดสกลนคร ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง การแบ่งให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364

Share