คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1703/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินทั้งสามโฉนดแก่ผู้ร้องก่อนวันที่จำเลยถึงแก่กรรมผู้ร้องฟ้องล. ในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกของจำเลยขอให้ศาลบังคับให้ล. จดทะเบียนโอนขายที่ดินทั้งสามโฉนดแก่ผู้ร้องตามสัญญาจะซื้อขายที่จำเลยทำไว้ล. ตกลงประนีประนอมยอมความจดทะเบียนโอนขายที่ดินทั้งสามโฉนดแก่ผู้ร้องตามฟ้องหลังจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินทั้งสามโฉนดดังนี้การที่ล.ตกลงประนีประนอมยอมความกับผู้ร้องดังกล่าวหาใช่ล.ในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกของจำเลยเพิ่งก่อให้เกิดหรือเปลี่ยนแปลงซึ่งสิทธิในที่ดินทั้งสามโฉนดที่ถูกยึดภายหลังที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการยึดไว้แล้วไม่แต่เป็นการที่ล. ในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกของจำเลยยอมรับตามสิทธิของผู้ร้องที่มีอยู่ตามสัญญาที่จำเลยทำไว้ก่อนจำเลยถึงแก่กรรมผู้ร้องจึงมีสิทธิฟ้องขอให้ศาลบังคับล.ในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกซึ่งรับมาทั้งสิทธิและหน้าที่ที่จำเลยมีอยู่ต่อผู้ร้องจดทะเบียนโอนขายที่ดินทั้งสามโฉนดแก่ผู้ร้องได้และการที่ศาลพิพากษาตามยอมก็เป็นการบังคับให้ปฏิบัติตามกฎหมายตามหน้าที่ที่จำเลยมีอยู่ต่อผู้ร้องในความผูกพันตามสัญญาจะซื้อขายที่จำเลยทำไว้ก่อนถึงแก่กรรมเท่านั้นถือไม่ได้ว่าจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาได้ก่อให้เกิดหรือเปลี่ยนแปลงซึ่งสิทธิในทรัพย์สินที่ถูกยึดภายหลังที่ได้ทำการยึดไว้แล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามสัญญาประนีประนอมยอมความแก่โจทก์ จำเลยผิดนัด โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดที่ดินของจำเลยรวม 5 แปลง โฉนดเลขที่ 46506, 56592, 56593, 31044 และ 30987แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 56592, 56593 และ 46506ที่โจทก์นำยึด ศาลแพ่งธนบุรีพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้ผู้จัดการมรดกของจำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้ร้องตามสัญญาจะซื้อขายที่จำเลยทำไว้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวโจทก์จะบังคับคดีให้กระทบสิทธิของผู้ร้องหาได้ไม่ ขอให้เพิกถอนการยึดที่ดิน 3 โฉนดดังกล่าวเสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 287
โจทก์คัดค้านว่า ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย โจทก์ได้ฟ้องและบังคับคดีก่อนที่ผู้ร้องจะได้สิทธิตามคำร้อง ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนการยึด ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว มี คำสั่ง ยกคำร้อง
ผู้ร้อง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 56592, 56593 และ 46506 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียนกรุงเทพมหานคร
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินทั้งสามโฉนดแก่ผู้ร้องไว้ก่อนวันที่ 19 มีนาคม 2533 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยถึงแก่กรรม ผู้ร้องฟ้องนางลลนาในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกของจำเลยเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2533 ขอให้ศาลบังคับให้นางลลนาจดทะเบียนโอนขายที่ดินทั้งสามโฉนดแก่ผู้ร้องตามสัญญาจะซื้อขายที่จำเลยทำไว้แก่ผู้ร้องดังกล่าว นางลลนาตกลงประนีประนอมยอมความจดทะเบียนโอนขายที่ดินทั้งสามโฉนดแก่ผู้ร้องตามฟ้อง ศาลพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2534 ภายหลังจากที่โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินทั้งสามโฉนดดังกล่าวไว้แล้วเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2533 ดังนี้การที่นางลลนาตกลงประนีประนอมยอมความกับผู้ร้องไปดังกล่าว หาใช่นางลลนาในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกของจำเลยเพิ่งก่อให้เกิด เปลี่ยนแปลงซึ่งสิทธิในที่ดินทั้งสามโฉนดที่ถูกยึดภายหลังที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการยึดไว้แล้วไม่ หากแต่เป็นการที่นางลลนาในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกของจำเลยยอมรับตามสิทธิของผู้ร้องที่มีอยู่ตามสัญญาจะซื้อขายที่จำเลยทำไว้แก่ผู้ร้องก่อนจำเลยถึงแก่กรรมผู้ร้องจึงมีสิทธิที่จะฟ้องขอให้ศาลบังคับนางลลนาในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกซึ่งรับมาทั้งสิทธิและหน้าที่ที่จำเลยมีอยู่ต่อผู้ร้อง จดทะเบียนโอนขายที่ดินทั้งสามโฉนดแก่ผู้ร้องได้และการที่ศาลพิพากษาตามยอมก็เป็นการบังคับให้นางลลนาในฐานะทายาทและผู้จัดการมรดกของจำเลยปฏิบัติตามกฎหมายตามหน้าที่ที่จำเลยมีอยู่ต่อผู้ร้องในความผูกพันตามสัญญาจะซื้อขายที่จำเลยทำไว้แก่ผู้ร้องก่อนจำเลยถึงแก่กรรมเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาได้ก่อให้เกิดเปลี่ยนแปลงซึ่งสิทธิในทรัพย์สินที่ถูกยึดภายหลังที่ได้ทำการยึดไว้แล้ว
พิพากษายืน

Share