แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คดีก่อนโจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนที่ดินพิพาทซึ่งถูกเวนคืนเพิ่มขึ้นพร้อมดอกเบี้ยของเงินค่าทดแทนที่ดินที่ขอเพิ่มในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารออมสินร้อยละ 10.75 ต่อปี ส่วนคดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยเฉพาะดอกเบี้ยที่จำเลยคำนวณให้ในอัตราร้อยละ 9 ต่อปี จากเงินค่าทดแทนที่ดินพิพาทที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยวินิจฉัยเพิ่มให้โดยอ้างว่าการคำนวณดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง จะเห็นได้ว่าสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับคดีนี้กับคดีก่อนเป็นอย่างเดียวกัน มูลกรณีที่โจทก์ทั้งสองมีสิทธิเรียกเงินค่าทดแทนที่ดินเพิ่มและดอกเบี้ยก็เนื่องจากที่ดินแปลงเดียวกัน ดอกเบี้ยที่โจทก์ทั้งสองฟ้องในคดีนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของดอกเบี้ยที่ฟ้องไว้แล้วในคดีก่อน แม้ว่ารัฐมนตรีฯ จะมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองมาภายหลังที่โจทก์ทั้งสองยื่นฟ้องก่อนแล้วก็ตาม ศาลในคดีก่อนก็ต้องพิพากษาให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งสองในเงินค่าทดแทนที่ดินที่เพิ่มขึ้นให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฯ มาตรา 26 วรรคท้าย เมื่อคดีนี้กับคดีก่อนเป็นเรื่องเดียวกัน โจทก์ทั้งสองนำคดีนี้มาฟ้องจำเลยในระหว่างพิจารณา จึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้
การที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ว่า ฟ้องของโจทก์ทั้งสองคดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้อน ขอให้รับคำฟ้องโจทก์ทั้งสองโดยย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาต่อไปนั้น เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตาราง 1 ข้อ 2(ก)
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 2836 ตำบลพระโขนงฝั่งเหนือ อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 10 ไร่ 31 ตารางวา ถูกเวนคืนเพื่อสร้างทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ-บางโคล่ และสายพญาไท-ศรีนครินทร์ เนื้อที่ 5 ไร่ 6 ตารางวา ได้รับเงินค่าทดแทนที่ดินตารางวาละ 85,000 บาท โจทก์ทั้งสองได้อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยวินิจฉัยเพิ่มเงินค่าทดแทนที่ดินให้ 118,354,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแต่จำเลยคำนวณอัตราดอกเบี้ยคงที่ให้แก่โจทก์ทั้งสองในอัตราร้อยละ 9 ต่อปี นับจากวันที่ 15 ธันวาคม 2538 จนถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2540 ขัดต่อกฎหมาย ทั้งนี้เพราะกฎหมายบัญญัติให้ดอกเบี้ยที่โจทก์ทั้งสองได้รับเป็นไปตามประกาศของธนาคารออมสิน ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับดอกเบี้ยขาดไปเป็นเงิน 1,682,085.93 บาท โจทก์ทั้งสองจึงขอเรียกดอกเบี้ยจากจำนวนเงินดังกล่าวในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2540 เป็นต้นไป คำนวณถึงวันฟ้องเป็นเงิน 325,904.14 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,007,990.07 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 2,007,990.07 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,682,085.93 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจยื่นฟ้องคดีนี้เนื่องจากเป็นฟ้องซ้อนกับคดีของศาลชั้นต้นหมายเลขดำที่ ปค.50/2540 ระหว่าง นางหรือนางสาวงามตา สงวนสินธุกุล กับพวก โจทก์ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย กับพวก จำเลย ซึ่งคดีดังกล่าวโจทก์ทั้งสองได้ยื่นฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนที่ดินพร้อมดอกเบี้ยเพิ่มจากจำเลย จำเลยคำนวณดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ทั้งสองถูกต้องแล้ว นอกจากนี้จำเลยได้จ่ายเงินดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ทั้งสองเกินไป โดยจ่ายเป็นเวลา 533 วัน ที่ถูกต้องแล้วโจทก์ทั้งสองมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 444 วัน จำเลยจึงจ่ายเงินดอกเบี้ยเกินไปจำนวน 2,684,852.38 บาท ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยฟ้องแย้งจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่มีสิทธิเรียกเงินดอกเบี้ยคืน ทั้งนี้เพราะจำเลยสมัครใจชำระเงินจำนวนดังกล่าว การชำระดอกเบี้ยของจำเลยเป็นเรื่องลาภมิควรได้ จะต้องเรียกคืนภายในอายุความ 1 ปี แต่จำเลยเรียกร้องเกินระยะเวลาดังกล่าวจึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ทั้งสองเคยฟ้องจำเลยเกี่ยวกับเงินค่าทดแทนที่ดินในคดีหมายเลขดำที่ ปค.50/2540 ของศาลชั้นต้นและคู่ความทั้งสองคดีเป็นคดีเป็นคนเดียวกันเมื่อคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล การที่โจทก์ทั้งสองมายื่นฟ้องคดีนี้อีกจึงเป็นฟ้องซ้อน โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยอีก และเป็นเหตุให้ฟ้องแย้งของจำเลยตกไปด้วย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2540 โจทก์ทั้งสองได้ยื่นฟ้องจำเลยเป็นจำเลยที่ 1 และนายเรืองฤทธิ์ พูลสวัสดิ์ เป็นจำเลยที่ 2 เรียกเงินค่าทดแทนที่ดินจากการที่ที่ดินของโจทก์ทั้งสองถูกเวนคืน รวมทั้งที่ดินโฉนดเลขที่ 2836 ตำบลพระโขนงฝั่งเหนือ อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร ด้วย โดยคณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯ กำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินของโจทก์ทั้งสองตามโฉนดดังกล่าวในอัตราตารางวาละ 85,000 บาท โจทก์ทั้งสองไม่พอใจเงินค่าทดแทนที่ดิน จึงยื่นอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยยังมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้โจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองจึงยื่นฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนที่ดินในอัตราตารางวาละ 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสิน นับแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2538 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง ระหว่างการพิจารณาคดีดังกล่าว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้วินิจฉัยเพิ่มเงินค่าทดแทนที่ดินโฉนดเลขที่ 2836 ให้แก่โจทก์ทั้งสองจากเดิมตารางวาละ 85,000 บาท เป็นตารางวาละ 144,000 บาท จำเลยได้จ่ายเงินตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยวินิจฉัยให้เพิ่มแล้ว พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 9 ต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2538 ถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2540 ซึ่งเป็นวันจ่ายเงินค่าทดแทนที่ดินเพิ่มรวมเป็นเงินดอกเบี้ย 15,554,633.91 บาท แต่โจทก์ทั้งสองเห็นว่าการจ่ายดอกเบี้ยดังกล่าวไม่ถูกต้อง ทั้งนี้เพราะการจ่ายดอกเบี้ยต้องเป็นไปตามประกาศของธนาคารออมสิน แต่จำเลยจ่ายในอัตราคงที่ร้อยละ 9 ต่อปี จึงฟ้องคดีนี้เรียกเงินดอกเบี้ยเพิ่มเติม มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า ฟ้องของโจทก์ทั้งสองในคดีนี้เป็นฟ้องซ้อนหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง บัญญัติว่า นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคำฟ้องแล้ว คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณาและผลแห่งการนี้ (1) ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น ความมุ่งหมายของบทบัญญัติดังกล่าวก็คือคดีเรื่องเดียวกันโจทก์ควรจะฟ้องร้องว่ากล่าวกันไปเสียให้เสร็จสิ้นในคราวเดียวกัน คดีก่อนโจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนที่ดินเพิ่มขึ้นของที่ดินโฉนดเลขที่ 2836 ตำบลพระโขนงฝั่งเหนือ อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร ซึ่งถูกเวนคืนเนื้อที่ 5 ไร่ 6 ตารางวา เนื่องจากการดำเนินการตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตดุสิต เขตราชเทวี เขตปทุมวัน เขตห้วยขวาง เขตบางกะปิ เขตคลองเตย เขตประเวศ เขตบางคอแหลม และเขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2534 เพื่อสร้างทางพิเศษสายแจ้งวัฒนะ-บางโคล่และสายพญาไท-ศรีนครินทร์ จากตารางวาละ 85,000 บาท เป็นตารางวาละ 500,000บาท พร้อมดอกเบี้ยของเงินค่าทดแทนที่ดินที่ขอเพิ่มดังกล่าวในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินร้อยละ 10.75 ต่อปี นับแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2538 เป็นต้นไป ส่วนคดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยเฉพาะดอกเบี้ยที่จำเลยคำนวณให้ในอัตราร้อยละ 9 ต่อปี จากเงินค่าทดแทนที่ดินพิพาทที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยวินิจฉัยเพิ่มให้นับแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2538 ถึงวันที่ 30 พฤษภาคม2540 โดยอ้างว่าการคำนวณดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง เห็นว่า สภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับคดีนี้กับคดีก่อนเป็นอย่างเดียวกัน มูลกรณีที่โจทก์ทั้งสองมีสิทธิเรียกเงินค่าทดแทนที่ดินเพิ่มและดอกเบี้ยก็เนื่องจากที่ดินแปลงเดียวกันนี้ถูกเวนคืน ดอกเบี้ยที่โจทก์ทั้งสองฟ้องในคดีนี้เป็นส่วนหนึ่งของดอกเบี้ยที่โจทก์ทั้งสองฟ้องไว้แล้วในคดีก่อน ซึ่งศาลในคดีก่อนย่อมมีอำนาจวินิจฉัยได้อยู่แล้ว แม้รัฐมนตรีฯ มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองมาภายหลังที่โจทก์ทั้งสองยื่นฟ้องก่อนแล้วก็ตามศาลคดีก่อนก็จะต้องพิพากษาให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งสองในเงินค่าทดแทนที่ดินที่เพิ่มขึ้นให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 26 วรรคท้าย โจทก์ทั้งสองจึงไม่จำเป็นต้องนำคดีมาฟ้องอีก เมื่อคดีนี้กับคดีก่อนเป็นเรื่องเดียวกัน โจทก์ทั้งสองนำคดีนี้มาฟ้องจำเลยในระหว่างพิจารณา จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ ปค.50/2540 ของศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้คำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์ทั้งสองอ้างไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์และฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่า ฟ้องของโจทก์ทั้งสองในคดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้อน ขอให้รับคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองโดยย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาต่อไป จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาทตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ 2(ก) แต่โจทก์ทั้งสองเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแต่ละชั้นศาลจำนวน 50,200 บาท จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกินกว่า 200 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งสอง”
พิพากษายืน ให้คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแต่ละชั้นศาลที่เกินกว่า200 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งสอง