แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นหญิงโสเภณี โกรธแค้น ว. และ บ. ผู้ตาย เรื่องจะสับเปลี่ยนคู่นอนร่วมประเวณี จึงมาเล่าเรื่องและขอให้จำเลยที่ 3 กับพวกไปช่วยสั่งสอนให้หน่อยซึ่งหมายถึงการทำร้ายให้เจ็บตัวเพียงเพื่อสั่งสอนเท่านั้นหาได้มีเจตนามุ่งหมายถึงกับจะฆ่าให้ตายไม่ ทั้งนี้โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 ก็ร่วมไปยังที่เกิดเหตุกับจำเลยที่ 3 กับพวกด้วย เพื่อชี้ตัวให้ดูว่าใครคือ ว. และ บ. การที่จำเลยที่ 3 กระทำรุนแรง ถึงขั้นเจตนาฆ่าโดยใช้มีดแทง บ. ผู้ตายถึงแก่ความตาย ย่อมเป็นการเกินเลยไปจากขอบเขตที่ใช้ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 จำเลยที่ 1 ที่ 2 ต้องรับผิดทางอาญาเพียงสำหรับความผิดเท่าที่อยู่ในขอบเขตที่ใช้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 87 แต่เมื่อการทำร้าย บ. ผู้ตาย เกิดผลรุนแรงถึงตายดังกล่าวจำเลยที่ 1 ที่ 2 ย่อมต้องรับผิดฐาน ทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้คนตายตาม มาตรา 290 เพราะการตาย เป็นผลธรรมดาอันย่อมเกิดขึ้นได้จากการทำร้ายตามที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้ใช้จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงมีความผิดตามมาตรา 290, 84 ประกอบด้วย มาตรา 87 วรรคสอง
หมายเหตุ ประชุมใหญ่ครั้งที่ 13/2528
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องใจความว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันใช้ให้จำเลยที่ ๓ กับพวกฆ่านายบังยา หรือปัญญา กับนายวิเชียร จำเลยที่ ๓ กับพวกมีมีดปลายแหลมคนละเล่มเป็นอาวุธพกพาไปในทางสาธารณะและร่วมกันใช้มีดนั้นแทงนายบังยาโดยเจตนาฆ่า นายบังยาได้ถึงแก่ความตายเพราะพิษบาดแผลที่ถูกแทงนั้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๓๗๑, ๘๓, ๘๔, ๙๑ และริบมีดของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ลงโทษประหารชีวิต จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพชั้นสอบสวน ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยทั้งสามไว้ตลอดชีวิต ริบมีดของกลาง ข้อหาอื่นให้ยกเสีย
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เชื่อว่า จำเลยที่ ๓ ใช้มีดแทงนายบังยาโดยเจตนาฆ่าจริงแต่เห็นว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ใช้ให้จำเลยที่ ๓ ทำร้ายนายบังยาโดยไม่ทราบมาก่อนว่าจำเลยที่ ๓ มีมีด จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จึงควรรับผิดเพียงในขอบเขตที่ใช้ พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ ประกอบด้วย มาตรา ๘๔, ๘๗ ให้จำคุกคนละ ๒ ปี ลดรับสารภาพแล้วคงจำคุกคนละ ๑ ปี ๔ เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยเชื่อว่าจำเลยที่ ๓ แทงนายบังยาถึงแก่ความตาย โดยมีเจตนาฆ่า
วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ส่วนจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ซึ่งโจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ก็มีเจตนาฆ่า จึงควรรอโทษจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ด้วยนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงแห่งคดีฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ โกรธแค้นนายวิเชียรและนายบังยาผู้ตายเรื่องจะสับเปลี่ยนคู่นอนร่วมประเวณีจึงมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้จำเลยที่ ๓ และนายทิดฟังและขอให้จำเลยที่ ๓ และนายทิดไปช่วยสั่งสอนให้หน่อย โดยจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ก็ร่วมไปยังที่เกิดเหตุกับจำเลยที่ ๓ และนายทิดด้วย เพื่อชี้ตัวให้จำเลยที่ ๓ และนายทิดดูว่าใครคือนายวิเชียรและนายบังยา ลักษณะเป็นการชวนกันไปทำร้ายผู้ตายนั่นเอง เพราะถ้าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ไม่ไปชี้ตัวให้ดู จำเลยที่ ๓ และนายทิดก็ย่อมไม่ทราบว่าใครคือบุคคลที่ต้องการจะให้สั่งสอน คำว่า “ช่วยสั่งสอนให้หน่อย” ย่อมหมายถึงการทำร้ายให้เจ็บตัวเพียงเพื่อสั่งสอนเท่านั้น หาได้มีเจตนามุ่งหมายถึงกับจะฆ่าให้ตายไม่ การที่จำเลยที่ ๓ กระทำการรุนแรงถึงขั้นเจตนาฆ่านั้นเป็นการเกินเลยไปจากขอบเขตที่ใช้ของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จึงต้องรับผิดทางอาญาเพียงสำหรับความผิดเท่าที่อยู่ในขอบเขตที่ใช้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๗ อย่างไรก็ตามศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า แม้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จะมีเจตนาเพียงทำร้ายเพื่อสั่งสอนก็ตาม แต่เมื่อการทำร้ายนั้นเกิดผลรุนแรงถึงตาย จำเลยที่ ๑ที่ ๒ ย่อมต้องรับผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้คนตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐ เพราะการตายเป็นผลธรรมดาอันย่อมเกิดขึ้นได้จากการทำร้ายตามที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้ใช้ จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐, ๘๔ ประกอบด้วยมาตรา ๘๗ วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มีความผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกายตามมาตรา ๒๙๕, ๘๔, ๘๗ นั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้คนตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐, ๘๔ ประกอบด้วยมาตรา ๘๗ วรรคสองจำคุกคนละ ๓ ปี จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา ๗๘ คงลงโทษจำคุกจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ คนละ ๒ ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์