แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยแอบเอารถของผู้เสียหายออกมาเพื่อจะขับไปกินข้าวต้มแล้วจะเอามาคืน แสดงว่าไม่มีเจตนาจะเอารถนั้นเป็นของตนหรือของผู้อื่น การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้เข้าไปในเคหสถานและลักเอารถยนต์จำนวนหนึ่งคันไปโดยทุจริต ในวันเกิดเหตุเจ้าพนักงานจับตัวจำเลยทั้งสามได้พร้อมด้วยรถยนต์ที่จำเลยลักไปและได้สายไฟฟ้า 1 เส้น ที่จำเลยใช้ต่อไฟตรงติดเครื่องยนต์มาเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1)(7)(8), 83
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335, 83 ให้จำคุกคนละ 4 ปี สายไฟฟ้าของกลางให้ริบ ส่วนรถยนต์ให้คืนเจ้าทรัพย์
จำเลยที่ 2, 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยขาดเจตนาที่จะลักทรัพย์ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2ซึ่งเป็นคนใช้ของคนในหอพักจิมคอร์ต กับจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้เช่าห้องหนึ่งในหอพักจิมคอร์ตได้ร่วมกันเข็นรถยนต์คันของกลางของผู้เสียหายออกจากโรงรถ มาห่างประมาณ 50 เมตรตรงปากทางออกจากหอพัก ขณะที่จำเลยเปิดกระโปรงหน้ารถเพื่อต่อสายไฟติดเครื่องยนต์อยู่นั้น ร้อยตำรวจตรีเอนก นันทโอสถ กับพวกเจ้าพนักงานตำรวจออกตรวจท้องที่พบเห็นเหตุการณ์เข้าจึงเข้าไปสอบถามว่าเอารถยนต์ของใครมา จะเอาไปไหน จำเลยแจ้งว่าเป็นรถของจิมคอร์ตจะเอาไปกินข้าวต้มโดยไม่ได้บอกเจ้าของ เจ้าพนักงานตำรวจจึงควบคุมตัวจำเลยทั้งสามไว้แล้วเข้าไปสอบถามนางสาวทัศนาวรรณเจ้าของรถ ซึ่งเป็นบุตรเจ้าของหอพัก ได้ความว่าไม่ได้อนุญาตให้จำเลยเอาไป เจ้าพนักงานตำรวจจึงจับตัวจำเลยทั้งสามดำเนินคดีนี้
ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นเพียงคนใช้ จำเลยที่ 3เป็นผู้เช่าหอพักอยู่ ฐานะของจำเลยไม่อาจจะเป็นผู้ถือวิสาสะนำเอารถยนต์ของนายจ้างและเจ้าของหอพักที่อยู่ไปใช้เพื่อขับขี่ไปกินข้าวต้มได้ การกระทำของจำเลยจึงแสดงถึงเจตนาที่จะลักทรัพย์นั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามคำผู้เสียหายว่ามารดาผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของจิมคอร์ต เวลาจะใช้รถเคยใช้ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ขับรถให้ ก่อนเกิดเหตุจำเลยทั้งสามก็เคยแอบเอารถไปใช้จนเสียและมารดาผู้เสียหายต้องออกเงินซ่อมเองก็มี ผู้เสียหายก็ทราบเรื่องแต่ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายและมารดาได้ห้ามปราม ผู้เสียหายก็ไม่ได้คิดว่าจำเลยจะขโมยรถไปขาย รถในหอพักไม่เคยหาย คดีนี้ผู้เสียหายเพียงแต่อยากเอาไปกินข้าวต้มแล้วกลับมาส่งคืนมากกว่า การกระทำของจำเลยไม่แสดงว่าจำเลยเจตนาจะเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือของผู้อื่น ยังไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืนยกฎีกาโจทก์