คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 493/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยทราบผลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2542 ก่อนวันครบกำหนดเวลายื่นฎีกาถึง 14 วัน ย่อมมีเวลาพอที่จะหาเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จะต้องชำระและนำมาวางศาลได้ทัน การที่จำเลยไม่สามารถยื่นฎีกาได้ภายในกำหนดจึงเป็นเพราะความบกพร่องของตัวจำเลยและทนายจำเลยเอง มิใช่พฤติการณ์พิเศษที่จะขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 23 แม้ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2542 อันเป็นวันครบกำหนดยื่นฎีกา ก็มิใช่เหตุที่จำเลยจะอ้างว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นไม่ชอบ เพราะเมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินจำเลยที่ 1 ย่อมคาดหมายได้ว่าศาลชั้นต้นอาจสั่งไม่อนุญาตก็ได้ จำเลยควรต้องเตรียมการสำหรับกรณีดังกล่าวไว้ด้วย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 6,250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสองให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินเดือนละ 15,000 บาท มีกำหนดระยะเวลา1 ปี นับแต่วันที่โจทก์ทั้งสองขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาท ให้จำเลยที่ 1ส่งมอบที่ดินโฉนดเลขที่ 122232 ให้แก่โจทก์ทั้งสองด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยที่ 1 ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสองโดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2และที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนของโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทั้งสองศาลให้เป็นพับ ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 10,000 บาทแทนโจทก์ทั้งสอง

จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาอ้างว่าคดีมีทุนทรัพย์สูงและคณะกรรมการของจำเลยที่ 1 ยังไม่อนุมัติเงินค่าธรรมเนียมวางศาลประกอบกับช่วงเวลานี้ตรงกับเทศกาลวันหยุดวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษา

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าข้ออ้างตามคำร้องถือไม่ได้ว่ากรณีมีพฤติการณ์พิเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ให้ยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ไม่แก้อุทธรณ์ จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า เมื่อทนายจำเลยที่ 1 ได้รับสำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว ทนายจำเลยที่ 1 รีบแจ้งผลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ 1 ทราบทันทีเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม2542 แต่เงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จะต้องชำระและนำมาวางศาลมีจำนวนสูงถึง 200,000 บาท จำเลยที่ 1 ประสบปัญหาด้านการเงินต้องใช้เวลาติดต่อหาเงินจำนวนดังกล่าว จึงจำต้องขอขยายเวลายื่นฎีกาและศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอขยายเวลายื่นฎีกา เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2542 อันเป็นวันครบกำหนดยื่นฎีกาจึงไม่มีเวลาดำเนินการอย่างใดได้ทันนั้น เห็นว่าจำเลยที่ 1 รับทราบผลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม2542 ก่อนวันครบกำหนดเวลายื่นฎีกาถึง 14 วัน ย่อมมีเวลาเพียงพอที่จะหาเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จะต้องชำระและนำมาวางศาลได้ทันการที่จำเลยที่ 1 ไม่สามารถยื่นฎีกาได้ภายในกำหนดจึงเป็นเพราะความบกพร่องของตัวจำเลยที่ 1 และทนายจำเลยที่ 1 เอง มิใช่พฤติการณ์พิเศษที่จะยกขึ้นมากล่าวอ้างเพื่อขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 แม้ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2542 อันเป็นวันครบกำหนดยื่นฎีกาก็มิใช่เหตุที่จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นไม่ชอบ ทั้งนี้เพราะเมื่อจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงิน จำเลยที่ 1 ย่อมคาดหมายได้ว่าศาลชั้นต้นอาจสั่งไม่อนุญาตก็ได้ จำเลยที่ 1 ควรต้องเตรียมการสำหรับกรณีดังกล่าวไว้ด้วย เช่น เตรียมหาเงินหรือเตรียมคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาชั้นฎีกาไว้ให้พร้อม แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ดำเนินการดังกล่าวประการใด ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งและคำพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน โจทก์ไม่แก้ฎีกา จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้

Share