คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4929/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตาม พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 40 โจทก์สามารถนำสินค้าออกจากอารักขาของศุลกากรได้ โดยชำระภาษีอากรให้ครบถ้วนหรือวางเงินไว้เป็นประกันก็ได้ แต่โจทก์เลือกชำระค่าภาษีอากรตามจำนวนที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยกำหนด ดังนี้จึงถือได้ว่าโจทก์ได้ชำระค่าภาษีอากรส่วนที่เกินโดยสมัครใจ การฟ้องเรียกร้องขอคืนเงินอากรส่วนที่เสียไว้เกิน จึงต้องนำอายุความ 2 ปี ตามมาตรา 10 วรรค 5มาใช้บังคับ โจทก์มาฟ้องเรียกร้องขอคืนค่าอากรที่เสียไว้เกินจำนวนเมื่อพ้นกำหนด 2 ปี นับจากวันที่นำของเข้า คดีของโจทก์ส่วนนี้จึงขาดอายุความ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคล จำเลยเป็นกรมในรัฐบาล ระหว่างเดือนสิงหาคม 2529 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2529 และเดือนธันวาคม2529 ถึงเดือนมกราคม 2530 โจทก์ซื้อลวดเหล็กชุบทองแดงจากญี่ปุ่นรวม 6 เที่ยว โจทก์ยื่นใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีตามราคาที่ซื้อมา เจ้าหน้าที่จำเลยให้โจทก์เพิ่มราคาสินค้า และชำระค่าภาษีเพิ่มตามที่จำเลยกำหนด โจทก์ได้เสนอคำอุทธรณ์โต้แย้งสิทธิเรียกคืนไว้ โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์การเพิ่มราคาสินค้า จำเลยได้พิจารณาราคาสินค้าโจทก์ใหม่เฉพาะเที่ยวที่ 5,6 รวมเงินที่โจทก์ชำระสูงกว่ากฎหมายกำหนด เป็นเงิน 337,030.53 บาท การประเมินของจำเลยไม่ชอบ โจทก์โต้แย้งเกี่ยวกับราคาไว้ด้านหลังใบขนสินค้าทุกฉบับโจทก์ยื่นอุทธรณ์ตามระเบียบแล้ว ขอให้คืนเงินพร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่ฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า เจ้าหน้าที่จำเลยเพิ่มราคาสินค้าโจทก์ไม่ทำให้โจทก์ต้องเสียเงินค่าภาษีสูงกว่ากฎหมายกำหนด จำเลยวางระเบียบไว้ว่า”ให้ใช้ราคานำเข้าสูงสุด ก่อนรายที่พิจารณาราคาภายในระยะเวลาไม่เกิน6 เดือน เป็นราคาที่ใช้ในการประเมินอากร” สินค้าที่โจทก์นำเข้ามีผู้ผลิตหลายราย และได้มีผู้นำเข้ารายอื่น นำเข้าสินค้าชนิดเดียวกับที่โจทก์ฟ้อง จำเลยตรวจสอบระดับราคาแล้ว ปรากฏว่าราคาสินค้าของโจทก์ที่เป็นราคาแท้จริงในท้องตลาด ซึ่งจะพึงถือราคาเพื่อเรียกเก็บภาษีอากร มีราคาคำนวณกิโลกรัมละ 171 เยนญี่ปุ่น เอฟ.โอ.บี. ราคาดังกล่าวเป็นราคาสูงสุด ผู้นำเข้ารายอื่นก็ยอมรับราคาตามที่จำเลยวางไว้ ราคาสินค้าของโจทก์มิใช่ราคาแท้จริง หลักฐานการซื้อขายเป็นการร่วมกันทำขึ้นจากผู้มีผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อมีตัวเลขต่ำจะได้เสียภาษีอากรน้อย การเพิ่มราคาสินค้าของโจทก์ โจทก์เพิ่มราคาโดยสมัครใจของโจทก์เอง เหตุที่เจ้าหน้าทีของจำเลยลดราคาสินค้าตามใบขนสินค้าขาเข้าทั้ง 2 ฉบับ เพราะราคานำเข้าสูงสุด ก่อนที่โจทก์นำเข้าตามใบขนสินค้า ซึ่งนำเข้าภายในเวลา 6 เดือนได้ลดลง เจ้าหน้าที่จำเลยจึงลดราคาให้ตามหลักเกณฑ์ โจทก์นำเข้าสินค้าเที่ยวที่ 1 วันที่ 29สิงหาคม 2529 โจทก์ชำระภาษีอากรวันที่ 2 กันยายน 2529 โจทก์รู้ว่าโจทก์ชำระเกิน แต่ไม่ได้ฟ้องเรียกคืนภายใน 2 ปี นับแต่วันนำเข้า และชำระภาษีอากรเกินสิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลาง พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของโจทก์(ที่ถูกจำเลย) เฉพาะสินค้าที่โจทก์นำเข้าตามฟ้องในเที่ยวที่ 2 ถึงเที่ยวที่ 6 ตามใบสินค้าขาเข้าเลขที่ 109-41416, 119-41164, 129-42034, 010-4032 (ที่ถูก 010-40302) และ 020-40088 โดยให้ถือราคาอันแท้จริงในท้องตลาดตามบัญชีราคาสินค้าที่โจทก์อ้างส่งไว้ในคดีนี้เป็นเกณฑ์ในการเรียกเก็บภาษีอากร ส่วนสินค้าที่โจทก์นำเข้าในเที่ยวแรกตามใบขนสินค้าขาเข้าเลขที่ 089-42318 ให้ยกฟ้อง
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรร์ของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ที่เรียกคืนค่าภาษีอากรสำหรับสินค้าที่นำเข้าเที่ยวแรกขาดอายุความหรือไม่ ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่าโจทก์นำสินค้าเที่ยวแรกเข้ามาเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2529 และชำระค่าภาษีอากรเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2529 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่กันยายน 2531 ซึ่งเกินกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์นำสินค้าเข้าและชำระค่าภาษีอากร โจทก์อุทธรณ์ว่า อายุความฟ้องเรียกร้องขอคืนเงินอากรเพราะเหตุที่ได้เสียไว้เกินจำนวนที่พึงต้องเสียมีกำหนด 2 ปีนับจากวันที่นำของเข้าที่บัญญัติไว้ในมาตรา 10 วรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 นั้น นำมาปรับแก่คดีของโจทก์ไม่ได้เพราะโจทก์มิได้เงินภาษีอากรเกินด้วยความสมัครใจ กรณีของโจทก์ต้องนำอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164ซึ่งมีกำหนด 10 ปี มาปรับแก่คดี ศาลฎีกาเห็นว่า ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 40 โจทก์สามารถนำสินค้าออกจากอารักขาของศุลกากรได้โดยชำระภาษีอากรให้ครบถ้วนหรือวางเงินไว้เป็นประกันก็ได้ แต่โจทก์เลือกชำระค่าภาษีอากรตามจำนวนที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยกำหนด ดังนี้จึงถือได้ว่า โจทก์ได้ชำระค่าภาษีอากรส่วนที่เกินโดยสมัครใจ การฟ้องเรียกร้องขอคืนเงินอากรส่วนที่เสียไว้เกินจึงต้องนำอายุความ 2 ปี ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10วรรคห้า มาใช้บังคับ โจทก์มาฟ้องเรียกร้องขอคืนค่าอากรที่เสียไว้เกินจำนวนเมื่อพ้นกำหนด 2 ปี นับจากวันที่นำของเข้า คดีของโจทก์ส่วนนี้จึงขาดอายุความดังที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยมาชอบแล้วอุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า สินค้าพิพาทที่โจทก์ทำคำโต้แย้งราคาไว้ได้แก่สินค้าที่โจทก์นำเข้าเที่ยวที่ 2 ถึงเที่ยวที่ 6 นั้น มีราคาแท้จริงในท้องตลาดเป็นเท่าใด จากทางนำสืบของโจทก์ซึ่งจำเลยมิได้นำสืบโต้แย้ง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ราคาที่โจทก์สำแดงไว้ในแบบแสดงรายการการค้าคือตันละ 725 เหรียญสหรัฐอเมริกา ซี.ไอ.เอฟ สำหรับการนำเข้าสินค้าพิพาทเที่ยวที่ 2กับเที่ยวที่ 3 และตันละ 733 เหรียญสหรัฐอเมริกา ซี.ไอ.เอฟ. สำหรับเที่ยวที่ 4 ถึงเที่ยวที่ 6 นั้นเป็นราคาที่โจทก์ได้ทำสัญญากับผู้ขายที่ประเทศญี่ปุ่น และโจทก์ได้ชำระราคาสินค้าพิพาทไปในราคาดังกล่าวจริง จำเลยนำสืบว่า ราคาดังกบ่าวจะถือเป็นราคาแท้จริงในท้องตลาดไม่ได้ เพราะบริษัทอิโนเว รับเบอร์ จำกัด นำสินค้าประเภทนี้เข้ามาในระยะเวลาใกล้เคียงกับที่โจทก์นำเข้าในราคากิโลกรัมละ171 เยนญี่ปุ่น เอฟ.โอ.บี. จึงต้องถือราคาดังกล่าวเป็นราคาท้องตลาดพิเคราะห์แล้วเห็นว่า สินค้าพิพาทใช้สำหรับผลิตยางรถยนต์ ส่วนสินค้าของบริษัทอิโนเว รับเบอร์ จำกัด ใช้ผลิตยางรถจักรยานยนต์ จึงเป็นสินค้าที่นำมาใช้เพื่อผลิตผลที่ต่างกัน และสินค้าพิพาทมีขนาดหน้าตัดกว้าง 0.037 นิ้ว หรือประมาณ 0.9398 มิลลิเมตร ส่วนสินค้าของบริษัทอิโนเว รับเบอร์ จำกัด หน้าตัดกว้าง 0.97 มิลลิเมตร ขนาดโตกว่าสินค้าพิพาท ดังนั้นย่อมถือไม่ได้ว่าเป็นสินค้าชนิดและประเภทเดียวกันหรือใกล้เคียงกันพอที่จะเปรียบเทียบราคากันได้ทั้งได้ความว่าสินค้าพิพาทนี้โจทก์นำเข้าครั้งละ 19 ตันเศษ แต่สินค้าของบริษัทอิโนเอ รับเบอร์ จำกัด มีเพียง 7 ตันเศษเท่านั้น การที่โจทก์นำสินค้าพิพาทเข้ามาแต่ละครั้งเป็นจำนวนมากและขนาดเล็กกว่าย่อมมีราคาต่อหน่วยถูกกว่าสินค้าของบริษัทอโนเว รับเบอร์ จำกัดนายสุพัฒน์ หิรัญศิริวัฒน์ พยานจำเลยเบิกความว่า นอกจากโจทก์นำสินค้าดังกล่าวเข้ามาแล้ว ยังมีบริษัทกู๊ดเยียร์ จำกัด นำสินค้าชนิดเดียวกันสั่งเข้ามาจากบริษัทผู้ผลิตรายเดียวกับที่โจทก์สั่งเข้ามาและสั่งเข้ามาเพื่อใช้ผลิตยางนอกรถยนต์เช่นเดียวกับโจทก์ตามเอกสารหมาย ล.1 แผ่นที่ 95 อันดับที่ 14, 15, 16, 18, 21, 25 และ 26ปรากฏว่าราคาสินค้าที่บริษัทกู๊ดเยียร์ จำกัด สำแดงไว้นั้น ยังต่ำกว่าราคาของโจทก์เสียอีก โดยมีราคาเพียงตันละ 675 เหรียญสหรัฐอเมริกาเอฟ.โอ.บี. ดังนั้นที่จำเลยถือราคาที่บริษัทอิโนเวรับเบอร์ จำกัด นำสินค้าที่ถือไม่ได้ว่าเป็นชนิดและประเภทเดียวกันกับสินค้าพิพาทมาประเมินราคาของสินค้าพิพาทจึงไม่ถูกต้องที่จะถือว่าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้าพิพาทในขณะที่โจทก์นำเข้าและเมื่อไม่มีหลักเกณฑ์ที่จะชี้ให้เห็นได้ว่า ราคาอันแท้จริงในท้องตลาดของสินค้าพิพาทควรจะเป็นอย่างอื่น จึงพออนุมานได้ว่าราคาสินค้าพิพาทตามที่โจทก์ซื้อมานั้นเป็นราคาอันแทัจริงในท้องตลาด ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้นศาลฎีาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน.

Share