แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สินค้ายากานาไมซินซัลเฟตและเจนตาไมซินซัลเฟต แม้จะมีคุณสมบัติในการรักษาโรคโดยไม่ต้องใส่ยาตัวอื่นเติม เข้าไป แต่เมื่อจะใช้ต้องไปทำตามกรรมวิธีด้วยเครื่องจักรในสถานที่ปราศจากเชื้อตลอดจนภาชนะและตัวผู้ทำก็ต้องปราศจากเชื้อด้วย เป็นการเอาไปผลิตใหม่เพื่อให้เป็นยาสำเร็จรูปใช้ได้ทันที จึงไม่เป็นยาซึ่งแพทย์หรือประชาชนนำไปใช้ได้โดยตรง ตามบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกา(ฉบับที่ 54) พ.ศ. 2517 บัญชีที่ 3 หมวด 2(1) โจทก์จึงได้รับยกเว้นภาษีการค้าสำหรับการขายสินค้านั้นตามมาตรา 5(8) แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ตามมาตรา 5 ทศ แห่งประมวลรัษฎากร และกฎกระทรวง ฉบับที่ 161(พ.ศ.2526) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ได้รับคืนเงินภาษีอากรข้อ 1(2) ให้เริ่มคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันถัดจากวันครบระยะเวลาสามเดือน นับแต่วันยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากรดังนั้น เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากรในวันที่ 28พฤศจิกายน 2529 จึงครบระยะเวลาสามเดือนในวันที่ 28 กุมภาพันธ์2530 และต้องเริ่มคิดดอกเบี้ยให้โจทก์ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2530เป็นต้นไป แม้ว่าตามมาตรา 4 ทศ แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์จะมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือน ซึ่งเป็นอัตรามากกว่าอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองรับผิดใช้ดอกเบี้ยเพียงอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ศาลจึงพิพากษาให้เท่าที่โจทก์ขอ แต่ไม่เกินกว่าจำนวนเงินภาษีอากรที่ได้รับคืนตามมาตรา 4 ทศวรรคสอง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2524 ถึงวันที่ 1สิงหาคม 2529 โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลสำหรับการขายยากานาไมซินซัลเฟต และเจนตาไมซินซัลเฟต ให้แก่จำเลยทั้งสองทุก ๆ เดือน เป็นจำนวนทั้งสิ้น 994,532บาท โดยสำคัญผิดว่ามีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าดังกล่าว ทั้ง ๆที่ตามกฎหมายโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้า เพราะผลิตภัณฑ์ยาของโจทก์ทั้งสองชนิดดังกล่าวซึ่งโจทก์ผลิตขึ้นในราชอาณาจักรได้รับยกเว้นภาษีการค้าตามมาตรา 5 (8) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า(ฉบับที่ 54) พ.ศ. 2517 ทั้งนี้เพราะผลิตภัณฑ์ยาทั้งสองชนิดดังกล่าวไม่ใช่สินค้าตามบัญชีที่ 3 หมวด 2 (1) ท้ายพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวเนื่องจากเป็นยาซึ่งแพทย์หรือประชาชนไม่อาจนำไปใช้ได้โดยตรงโจทก์จึงได้ยื่นคำร้องขอคืนภาษีจากจำเลยทั้งสองแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอมคืน ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล จำนวน 994,532 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย 116,687.21บาท ให้แก่โจทก์และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินค่าภาษีดังกล่าวแก่โจทก์ นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า ยากานาไมซิน ซัลเฟต และยาเจนตาไมซินซัลเฟต ที่โจทก์ผลิตขึ้นจำหน่ายนั้น มีลักษณะเป็นผง เป็นยาที่อยู่ในสภาพที่สามารถนำไปใช้ในการรักษาโรคได้ทันทีเพราะมีส่วนผสมประกอบผสมเสร็จแล้ว และมีสูตรส่วนผสมครบบริบูรณ์พร้อมที่จะนำไปใช้รักษาโรคเข้าลักษณะเป็นสินค้ายา ซึ่งแพทย์หรือประชาชนนำไปใช้ได้โดยตรง เมื่อโจทก์ผลิตขายในราชอาณาจักรจึงต้องเสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ 1.5 ของรายรับ ตามบัญชีที่ 3 หมวด 2 (1)แห่งบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 54) พ.ศ. 2517 และมาตรา 7 (3)แห่งพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าวและเสียภาษีบำรุงเทศบาลร้อยละ 10ของภาษีการค้าตามเทศบัญญัติของเทศบาลนครกรุงเทพมหานคร ฯ เรื่องการตัดเก็บภาษีอากรและค่าธรรมเนียมบางประเภท (ฉบับที่ 2)พ.ศ. 2497 ข้อ 3 สินค้ายาทั้งสองชนิด ของโจทก์ไม่เข้าเกณฑ์ได้รับยกเว้นภาษีการค้าตามมาตรา 5(8) แห่งพระราชกฤษฎีกา ฯ (ฉบับที่ 54)พ.ศ. 2517 จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องคืนเงินค่าภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลตามฟ้องให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงินภาษีจำนวน994,532 บาท คืนแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 รับผิดเฉพาะภาษีบำรุงเทศบาลพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินที่จำเลยแต่ละคนจะต้องรับผิด นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จคำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ ว่าสินค้ายากานาไมซินซัลเฟต และเจนตาไมซินซัลเฟต แม้จะมีคุณสมบัติในการรักษาโรคโดยไม่ต้องใส่ยาตัวอื่นเติมเข้าไปแต่เมื่อจะใช้ต้องไปทำตามกรรมวิธีด้วยเครื่องจักร ในสถานที่ปราศจากเชื้อตลอดจนภาชนะและตัวผู้ทำก็ต้องปราศจากเชื้อด้วย เป็นการเอาไปผลิตใหม่เพื่อให้เป็นยาสำเร็จรูปใช้ได้ทันที จึงถือไม่ได้ว่ายาทั้งสองของโจทก์ดังกล่าวเป็นยาซึ่งแพทย์หรือประชาชนนำไปใช้ได้โดยตรง ตามบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นภาษีการค้า (ฉบับที่ 54) พ.ศ. 2517บัญชี 3 หมวด 2 (1) การขายสินค้ายาทั้งสองชนิดของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการขายสินค้าตามประเภทการค้า 1 ชนิด 1 (ก) ของบัญชีอัตราภาษีการค้าท้ายหมวด 4 ในลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากรและเป็นสินค้าที่ผลิตในราชอาณาจักร กับเป็นสินค้าที่มิได้ระบุในบัญชีที่ 1 บัญชีที่ 2 และบัญชี 3 ท้ายพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวด้วยโจทก์จึงได้รับยกเว้นภาษีการค้าสำหรับการขายสินค้ายาทั้งสองชนิดนั้นตามมาตรา 5(8) แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว เมื่อเป็นเช่นนี้โจทก์ก็ไม่ต้องเสียภาษีบำรุงเทศบาลด้วย อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่โจทก์ อุทธรณ์ขอให้จำเลยรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2530 นั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ได้ขอคืนภาษีในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2529 การคืนเงินภาษีอากรมาตรา 4 ทศ แห่งประมวลรัษฎากรให้ผู้ที่ได้รับคืนเงินภาษีอากรได้รับดอกเบี้ยด้วย ในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือน หรือเศษของเดือนของเงินภาษีอากรที่ได้รับคืนโดยไม่คิดทบต้น ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดโดยกฎกระทรวง แต่มิให้เกินกว่าจำนวนเงินภาษีอากรที่ได้รับคืน และตามกฎกระทรวงฉบับที่ 161 (พ.ศ.2526)ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ได้รับคืนเงินภาษีอากรข้อ 1 (2) กรณีคืนเงินภาษีอากรที่ชำระตามแบบแสดงรายการ ให้เริ่มคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันถัดจากวันครบระยะเวลาสามเดือนนับแต่วันยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากร เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอคืนในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2529 จึงครบระยะเวลาสามเดือน นับแต่วันยื่นคำร้องขอคืนเงินภาษีอากร วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2530และต้องเริ่มคิดดอกเบี้ยให้โจทก์ในวันที่ 1 มีนาคม 2530 เป็นต้นไปและแม้ว่าตามมาตรา 4 ทศ แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์จะมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือน ซึ่งเป็นอัตราที่มากกว่าอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองรับผิดใช้ดอกเบี้ยเพียงอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ศาลจึงพิพากษาให้เท่าที่โจทก์ขอ แต่ไม่เกินจำนวนเงินภาษีอากรที่โจทก์ได้รับคืนตามมาตรา 4 ทศ วรรคสอง อุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองชดใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินที่จำเลยแต่ละคนต้องรับผิด ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 116,687.21 บาท และดอกเบี้ยทั้งหมดต้องไม่เกินจำนวนเงินภาษีอากรที่โจทก์ได้รับคืนด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง.