คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4922/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่1ขับรถยนต์บรรทุกไม้แปรรูปแล้วถูกนายดาบตำรวจก. กับพวกยึดรถยนต์บรรทุกไม้แปรรูปไม่ยอมให้ขับออกไปจำเลยที่2ได้มาพูดกับนายดาบตำรวจก. กับพวกเป็นทำนองให้ปล่อยรถยนต์บรรทุกไม้แปรรูปและจำเลยที่1เมื่อนายดาบตำรวจก.กับพวกไม่ยอมต่อมาจำเลยที่2ก็พาจำเลยที่1ขึ้นรถยนต์ขับหนีไปแสดงว่าจำเลยที่2รู้แล้วว่าได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นและมีจำเลยที่1เป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดอันมิใช่ความผิดลหุโทษจำเลยที่2จึงต้องมีความผิดฐานช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดหรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดอันมิใช่ความผิดลหุโทษเพื่อไม่ให้ต้องโทษหรือไม่ให้ถูกจับกุมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา189

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 7, 48, 73, 74, 74 จัตวาประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 189, 190 และขอให้สั่งริบไม้ของกลาง คืนรถยนต์ และเต็นท์ผ้าใบแก่เจ้าของและจ่ายเงินสินบนนำจับแก่ผู้นำจับตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 48, 73 วรรคสอง จำคุก 2 ปีจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 จำคุก3 เดือน จำเลยที่ 2 ไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน เพื่อให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดีโทษจำคุกให้เปลี่ยนเป็นโทษกักขังแทนริบไม้สักแปรรูปของกลาง คืนรถยนต์และเต็นท์ผ้าใบแก่เจ้าของคำขอให้จ่ายสินบนนำจับให้ยกเพราะศาลไม่ได้ลงโทษปรับคำขออื่นให้ยก
จำเลย ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า เมื่อนายดาบตำรวจแก้ว กับพวกได้ยึดรถบรรทุกไม้แปรรูปไม่ยอมให้จำเลยที่ 1 หรือที่ 2ขับออกไป แสดงว่านายดาบตำรวจแก้ว กับพวกเห็นว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นแล้ว และมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดการที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจขณะเกิดเหตุมีตำแหน่งเป็นรองสารวัตรสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภองาว มีหน้าที่ปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายพฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ที่เข้ามาติดต่อเกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 ดังกล่าวโดยได้มาพูดกับนายดาบตำรวจแก้วกับพวกในทำนองขอให้ปล่อยรถยนต์บรรทุกไม้และจำเลยที่ 1 แต่นายดาบตำรวจแก้ว กับพวกไม่ยอม ต่อมาจำเลยที่ 2 ก็พาจำเลยที่ 1ไปขึ้นรถยนต์ขับหนีไป เห็นได้ว่า จำเลยที่ 2 รู้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ต้องหาว่ากระทำผิดฐานมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต อันมิใช่ความผิดลหุโทษ การที่จำเลยที่ 2 พาจำเลยที่ 1หนีไปจึงเป็นการช่วยจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิดลหุโทษโดยมีมูลเหตุชักจูงใจเพื่อมิให้จำเลยที่ 1 ต้องถูกจับกุมจำเลยที่ 2 จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นโทษกักขังและให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share