แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยซึ่งเป็นพระภิกษุแสดงตนเป็นโจทก์ขึ้นในที่ประชุมสงฆ์เมื่อมีพระภิกษุต้องหาว่าประพฤติผิดพระวินัยเป็นการปฏิบัติตามพระธรรมวินัยโดยมีมูลให้จำเลยเชื่อโดยสุจริตใจ ไม่ใช่กระทำเพื่อกลั่นแกล้งใส่ความ โดยไม่มีมูลแล้วจำเลยย่อมได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 329(1) ประมวลกฎหมายอาญายังไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทใส่ความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2509 เวลากลางวัน จำเลยสมคบกันหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ โดยกล่าวหาว่าโจทก์ทำผิดพระวินัยสงฆ์เสพเมถุนธรรมกับหญิงซึ่งต้องด้วยอาบัติปฐมปาราชิกโดยจำเลยกล่าวในที่ประชุมสงฆ์ซึ่งมีภิกษุสามเณรร่วมประชุมในอุโบสถวัดอินทรวิหารประมาณ 20 องค์ แล้วจำเลยที่ 2 เป็นผู้ยื่นเอกสารบันทึกว่า โจทก์เสพเมถุนธรรมกับหญิงโดยจำเลยทั้งหมดกับสามเณรบุญปันเป็นผู้ร่วมลงนามรับรองบันทึกนั้นและพระมหาพรหมธัมมทินโน เป็นผู้อ่านบันทึกนั้นให้ที่ประชุมสงฆ์ฟัง การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์เสียหรือน่าจะเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง ข้อความที่จำเลยกับพวกสมคบกันหมิ่นประมาทใส่ความ โจทก์ไม่เป็นความจริง ทำให้โจทก์ถูกไล่ออกจากวัด เหตุเกิดที่วัดอินทรวิหาร ตำบลบางขุนพรหม อำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลแล้วสั่งคดีมีมูลประทับฟ้อง
จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า จะฟังว่าโจทก์เสพเมถุนกับหญิงยังไม่ได้จำเลยมิได้กลั่นแกล้งโจทก์ จำเลยกระทำโดยสุจริตเข้าลักษณะเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(1) จึงไม่ผิดฐานหมิ่นประมาทพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์โดยผู้พิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยกระทำโดยเจตนาไม่สุจริต จึงไม่เป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329(1) พิพากษากลับว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 ปรับจำเลยรูปละ 100 บาท
จำเลยทั้งหมดฎีกาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(1)
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว สำหรับข้อเท็จจริงว่าโจทก์เสพเมถุนกับหญิงหรือไม่ เป็นอันยุติว่าโจทก์มิได้เสพเมถุนกับหญิง ปัญหามีเพียงว่า การกระทำของจำเลยเป็นการแสดงข้อความหรือความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(1) หรือไม่เห็นว่าตามฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยได้กล่าวหมิ่นประมาทโจทก์ต่อหน้าที่ประชุมสงฆ์ในโบสถ์วัดอินทรวิหารว่า โจทก์ทำผิดวินัยสงฆ์โดยเสพเมถุนธรรมกับหญิงตามบันทึกเอกสารท้ายฟ้องที่จำเลยลงนามรับรองไว้ แต่ทางพิจารณาเป็นเรื่องที่เจ้าอาวาสได้รับบัตรสนเท่ห์กล่าวหาโจทก์ และเจ้าอาวาสได้ให้พระอ่านบัตรสนเท่ห์นั้นในที่ประชุมสงฆ์ฟังในโบสถ์แล้วได้สอบถามที่ประชุมว่ามีโจทก์หรือไม่ พระไพฑูรย์ว่ามี คือ พระจำเลยทั้ง 11 รูปกับสามเณรบุญปันว่ารู้เห็นเหตุการณ์ตามบันทึกที่จำเลยที่ 2 ส่งให้พระมหาพรหมอ่านพฤติการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องที่เจ้าอาวาสกับพระจำเลยกระทำตามพระธรรมวินัยด้วยการโจทก์ขึ้นท่ามกลางที่ประชุมสงฆ์เมื่อมีภิกษุใดต้องหาว่ากระทำผิดพระวินัยและวันต่อมาเจ้าอาวาสได้ตั้งกรรมการสอบสวนโจทก์โดยเรียกโจทก์จำเลยทั้ง 11 รูป ไปให้การตามเอกสาร จ.17 แล้วเจ้าอาวาสมีคำสั่งให้โจทก์ออกไปจากวัด ซึ่งโจทก์ก็ยอมขอผัดเวลาออกจากวัดตามคำสั่งของเจ้าอาวาสและคณะกรรมการสงฆ์ผู้ดูแลทรัพย์สินของวัด มีพระซึ่งเป็นกรรมการสอบสวนอยู่ด้วยแสดงว่าข้อกล่าวหาพอมีมูลในเรื่องที่หญิงมาให้โจทก์ดูหมอหรือพยากรณ์ที่กุฎิโจทก์ตามลำพัง โจทก์ก็รับว่าในการพยากรณ์บางคราว โจทก์อยู่กับผู้มาขอให้พยากรณ์สองต่อสอง ซึ่งอาจเป็นผู้หญิงก็ได้ผู้ชายก็เคย และรับว่าภิกษุนั่งกับหญิงในที่ลับตาหรือลับหูสองต่อสองนั้นต้องอาบัติปาจิตตีย์ และมูลเหตุที่จะเกิดเรื่องนี้เกิดจากพระมหาสัมฤทธิ์จำเลยที่ 2 ซึ่งไม่มีสาเหตุอะไรกับโจทก์เป็นผู้เห็นเหตุการณ์ที่หญิงมาให้โจทก์ดูหมอในห้องของโจทก์ก่อน ซึ่งเป็นที่ผิดสังเกต 3-4 ครั้งแล้วจึงชวนพระอื่น ๆ ในวัดมาแอบดูด้วยกันอีกหลายครั้ง โดยเจาะรูหน้าต่างห้องจำเลยที่ 2 กับรูที่ฝาห้องครัวใช้เป็นที่แอบดู โดยศาลชั้นต้นได้ไปตรวจสถานที่แล้วสามารถมองเห็นตรงช่องประตูห้องที่โจทก์ดูหมอได้ชัดแจ้ง เชื่อได้ว่าพระจำเลยกับพวกได้แอบดูพฤติการณ์ของโจทก์และหญิงที่มาดูหมอตามลำพังสองต่อสองจริงในลักษณะที่ผิดสังเกตและไม่ถูกต้องตามวินัยสงฆ์ในการนั่งกับหญิงสองต่อสองในที่ลับหู อันเป็นเหตุให้พระจำเลยกับพวกในวัดเดียวกันเข้าใจไปในทางเสื่อมเสียแก่วัดและพระจำเลยซึ่งเป็นภิกษุวัดเดียวกับโจทก์ได้โดยสุจริต และการที่จำเลยแสดงตนเป็นโจทก์ขึ้นที่ประชุมสงฆ์เมื่อมีภิกษุใดต้องหาว่าประพฤติผิดพระวินัยนั้นก็เป็นการปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอยู่แล้ว โดยมีมูลให้จำเลยเชื่อโดยสุจริตใจเช่นนั้น ไม่ใช่กระทำเพื่อกลั่นแกล้งใส่ความโจทก์โดยไม่มีมูลเสียเลย จำเลยจึงได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(1) ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทฎีกาจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องโจทก์