แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การแก้ไขวันเดือนปีและปลอมลายมือชื่อโจทก์ลงกำกับการแก้ไขลงในเช็คเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266(4) ศาลชั้นต้นยกฟ้องจำเลยที่ 2 โดยอาศัยข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกฟ้องจำเลยที่ 2 โดยอาศัยข้อกฎหมาย คดีโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91,175, 180, 264, 265, 266(4)
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ประทับฟ้องในข้อหาความผิดฐานปลอมเอกสาร ฟ้องเท็จ และแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175, 180, 264, 265, 266(4), 83, 91ไว้พิจารณา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175, 180 วรรคสอง, 266(4), 83 การแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีตามมาตรา 180 วรรคสองเป็นการใช้เอกสารอันเกิดจากการกระทำผิดตามมาตรา 266(4) ของจำเลยที่ 1 เอง จึงลงโทษตามมาตรา 266(4) แต่กระทงเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 266(4)ให้ปรับ 16,000 บาท ความผิดฐานฟ้องเท็จให้ปรับ 8,000 บาท เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวมปรับ 24,000 บาทหากไม่ชำระค่าปรับให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 1 ใช้ค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า เช็คเอกสารหมาย จ.1 เป็นเช็คที่โจทก์สั่งจ่ายชำระเงินดาวน์ในการเช่าซื้อรถยนต์ให้แก่จำเลยที่ 1 ลงวันที่ 4 สิงหาคม2524 โจทก์นำเช็คเอกสารหมาย จ.1 ไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2524 แต่ธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินต่อมาวันที่ 12 กรกฎาคม 2526 จำเลยที่ 2 ได้นำเช็คเอกสารหมายจ.1 ซึ่งมีการปลอมลายมือชื่อของโจทก์ลงกำกับการแก้ไขวันสั่งจ่ายจากวันที่ 4 สิงหาคม 2524 เป็นวันที่ 12 กรกฎาคม 2526 ไปเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงินอีก แต่ธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า บัญชีปิดแล้ว ครั้นวันที่ 19 สิงหาคม 2526 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้ฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาต่อศาลชั้นต้นในข้อหาว่ากระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ตามคดีหมายเลขแดงที่ 1116/2526ของศาลชั้นต้นในการพิจารณาคดีวันที่ 12 กันยายน 2526 จำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 2 ได้อ้างส่งเช็คเอกสารหมาย จ.1 เป็นพยานต่อศาลคดีดังกล่าวศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้วโจทก์จึงมาฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 มีว่า จำเลยที่ 1ได้ร่วมกับพวกแก้ไขวันเดือนปี และปลอมลายมือชื่อโจทก์ลงในเช็คเอกสารหมาย จ.1 หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เช็คเอกสารหมายจ.1 อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 ตลอดเวลา การแก้ไขวันเดือนปีและปลอมลายมือชื่อโจทก์ลงในเช็คเอกสารหมาย จ.1 เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกกระทำการดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงต้องมีความผิดตามฟ้องโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 1ฟังไม่ขึ้น
สำหรับฎีกาของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ด้วยนั้นเห็นว่าคดีนี้แม้ศาลชั้นต้นจะยกฟ้องจำเลยที่ 2 โดยอาศัยข้อเท็จจริงส่วนศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะยกฟ้องจำเลยที่ 2 โดยอาศัยข้อกฎหมายก็ตามคดีโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้อเท็จจริงหรือปัญหาข้อกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 เมื่อฎีกาของโจทก์ต้องห้ามเสียแล้ว ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายืน