คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4915/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมโจทก์ที่ 1 ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท ต่อมาโจทก์ที่ 1 กับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่าที่ดินพิพาทด้านทิศตะวันออกเนื้อที่ 6 ไร่ 2 งาน ให้เป็นของจำเลย ที่ดินส่วนที่เหลือให้เป็นของโจทก์ที่ 1 ศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้ว หลังจากนั้นโจทก์ที่ 1 ยกที่ดินพิพาทส่วนของตนให้แก่โจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นบุตร ในคดีดังกล่าวเมื่อจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้จำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ที่ 1 โจทก์ทั้งสองจึงฟ้องคดีนี้ สำหรับโจทก์ที่ 1 หากไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลชั้นต้นในคดีก่อนดังกล่าว โจทก์ที่ 1 ก็ชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาต่อไปในคดีเดิม เมื่อโจทก์ที่ 1 มาฟ้องคดีนี้อีก ย่อมเห็นได้ว่าประเด็นที่ต้องวินิจฉัยเป็นประเด็นข้อเดียวกันกับประเด็นในคดีเดิมที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดไปแล้ว การฟ้องคดีนี้ของโจทก์ที่ 1 จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ในส่วนของโจทก์ที่ 2 นั้น แม้จะมิได้เป็นคู่ความในคดีเดิมก็ตาม แต่โจทก์ที่ 2 ได้รับการยกให้ที่ดินพิพาทจากโจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นคู่ความในคดีเดิมภายหลังการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงเป็นผู้สืบสิทธิในที่ดินพิพาทมาจากโจทก์ที่ 1 ต้องถือว่าเป็นคู่ความในคดีเดิม และต้องผูกพันตามคำสั่งศาลในคดีเดิมด้วย การฟ้องคดีนี้ของโจทก์ที่ 2 ย่อมเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำเช่นเดียวกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์ที่ ๑ ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท ต่อมาโจทก์ที่ ๑ และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลพิพากษาตามยอม โจทก์ที่ ๑ ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยส่งมอบที่ดินด้านทิศตะวันออกให้แก่จำเลยแล้ว หลังจากนั้นโจทก์ที่ ๑ ได้ยกที่ดินส่วนที่เหลือให้โจทก์ที่ ๒ ต่อมาจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีเข้าไปปักหลักเขตในที่ดินของโจทก์ที่ ๒ เพื่อยึดถือครอบครองเป็นของตน เป็นการโต้แย้งสิทธิและรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์ที่ ๒ ขอให้พิพากษาว่าโจทก์ที่ ๑ ได้ยกที่ดินทางด้านทิศตะวันออกให้จำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว และโจทก์ที่ ๒ ได้สิทธิครอบครองในที่ดินส่วนที่จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีปักหลักเขต กับห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า โจทก์ที่ ๑ ยังไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่ยอมแบ่งแยกที่ดินให้จำเลย จำเลยเคยบอกให้โจทก์ที่ ๑ แบ่งแยกให้หลายครั้ง แต่โจทก์ที่ ๑ บ่ายเบี่ยงตลอดมา จำเลยจึงขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี โจทก์ที่ ๑ ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการบังคับคดีดังกล่าว ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องของโจทก์ที่ ๑ แล้ววินิจฉัยว่าโจทก์ที่ ๑ ยังไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ การบังคับคดีของจำเลยจึงชอบแล้ว โจทก์ที่ ๒ ไม่มีสิทธิเข้าไปครอบครองที่ดินส่วนที่เป็นของจำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้จำเลยตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ที่ ๑ ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการบังคับคดีโดยโต้แย้งว่า โจทก์ที่ ๑ ได้ยกที่ดินให้จำเลยและจำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์แล้ว เป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม ครั้นศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ที่ ๑ โดยวินิจฉัยว่าที่ดินแปลงที่โจทก์ที่ ๑ ยกให้จำเลย มิใช่ที่ดินพิพาทตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงถือไม่ได้ว่าการยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยเป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม ดังนี้ หากโจทก์ที่ ๑ ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าว โจทก์ที่ ๑ ก็ชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาต่อไปในคดีเดิม เมื่อโจทก์ที่ ๑ มาฟ้องคดีนี้อีก ย่อมเห็นได้ว่าประเด็นที่ต้องวินิจฉัยในคดีนี้เป็นประเด็นข้อเดียวกันกับประเด็นในคดีเดิมที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดไปแล้ว การฟ้องคดีนี้ของโจทก์ที่ ๑ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๔ ในส่วนของโจทก์ที่ ๒ นั้น แม้จะมิได้เป็นคู่ความในคดีเดิมก็ตาม แต่โจทก์ที่ ๒ ได้รับการยกให้ที่ดินพิพาทจากโจทก์ที่ ๑ ซึ่งเป็นคู่ความในคดีเดิมภายหลังการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงเป็นผู้สืบสิทธิในที่ดินพิพาทมาจากโจทก์ที่ ๑ ต้องถือว่าเป็นคู่ความในคดีเดิม และต้องผูกพันตามคำสั่งศาลในคดีเดิมด้วย การฟ้องคดีนี้ของโจทก์ที่ ๒ ย่อมเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำเช่นเดียวกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share