คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4715-4716/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 บัญญัติเรื่องการจดประเด็นข้อพิพาทและการดำเนินกระบวนพิจารณาไว้เป็นการเฉพาะแล้ว จึงไม่อาจนำ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับแก่การจดประเด็นข้อพิพาทและการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลแรงงานได้ การที่ศาลแรงงานสอบข้อเท็จจริงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่ง ซึ่งศาลแรงงานย่อมมีอำนาจกระทำได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ ดังนั้นหลังจากศาลแรงงานกลางจดประเด็นข้อพิพาทแล้ว ต่อมาศาลแรงงานกลางสั่งให้โจทก์ทั้งสองและจำเลยเตรียมข้อเท็จจริงทั้งสองสำนวนและพยานหลักฐานที่จะใช้สนับสนุนข้ออ้างข้อเถียงให้พร้อม เพื่อให้คู่ความอีกฝ่ายยอมรับ ศาลแรงงานจึงมีอำนาจกระทำได้โดยชอบ คดีนี้โจทก์ทั้งสองผู้เป็นลูกจ้างฟ้องจำเลยผู้เป็นนายจ้างเรียกค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมค่าจ้างค้างจ่าย และเงินทดรองจ่าย แม้จำเลยแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ทั้งสองว่าทุจริตต่อหน้าที่และจำเลยฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากการที่สาวจำหน่ายที่โจทก์ทั้งสองแต่งตั้งได้สั่งซื้อสินค้าจากจำเลยและมียอดหนี้ค้างชำระจากโจทก์ทั้งสอง ก็เป็นเพียงการฟ้องเรียกค่าสินค้าที่ค้างชำระย่อมไม่มีผลให้คดีนี้กลายเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานอกจากนี้คดีอาญาซึ่งจำเลยแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ที่1อยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานอัยการส่วนโจทก์ที่2 อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดนครปฐม ศาลแรงงานกลางจึงชอบที่จะพิจารณาและพิพากษาคดีนี้โดยไม่ต้องรอฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวได้

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลแรงงานกลางให้รวมการพิจารณาและพิพากษาเข้าด้วยกันโดยให้เรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 เรียกจำเลยทั้งสองสำนวนว่า จำเลย
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องและโจทก์ที่ 1 แก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 21,600 บาท แก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 16,716 บาทแก่โจทก์ที่ 2 ค่าชดเชยจำนวน 108,000 บาท แก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 25,500 บาท แก่โจทก์ที่ 2 ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจำนวน 54,000 บาท ค่าจ้างค้างจ่ายจำนวน 11,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีนับแต่วันที่19 พฤศจิกายน2540 เป็นต้นไป และจ่ายเงินเพิ่มอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีของต้นเงิน 11,400 บาท ทุกระยะ 7 วัน นับแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2540 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1และจ่ายเงินทดรองจ่ายจำนวน 5,200 บาท แก่โจทก์ที่ 2
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การและฟ้องแย้งและแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองเนื่องจากโจทก์ทั้งสองกระทำความผิดอย่างร้ายแรง จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าจ้างค้างจ่ายและเงินทดรองจ่ายให้โจทก์ทั้งสองและการเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองเป็นการกระทำที่เป็นธรรมแล้วจำเลยขอฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ที่ 1 เป็นเงินจำนวน 744,799 บาท จากโจทก์ที่ 2จำนวน 49,924 บาท ขอให้ยกฟ้อง และให้โจทก์ทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ทั้งสองสำนวนให้การแก้ฟ้องแย้งและโจทก์ที่ 1 แก้ไขคำให้การแก้ฟ้องแย้งว่าฟ้องแย้งสำหรับโจทก์ที่ 1 ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
หลังจากศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นข้อพิพาทแล้วศาลแรงงานกลางสอบข้อเท็จจริงจากคู่ความและสืบพยานจำเลยอีก 1 ปาก โจทก์ทั้งสองและจำเลยแถลงหมดพยาน
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 108,000 บาทและแก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 25,500 บาท กับให้จำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจ่ายแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 11,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีนับแต่วันที่19 พฤศจิกายน 2540 ซึ่งเป็นวันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกฟ้อง และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่า หลังจากศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นข้อพิพาทแล้วศาลแรงงานกลางไม่มีอำนาจสอบข้อเท็จจริงอีกแต่ต้องสืบพยานไป การที่ศาลแรงงานกลางสั่งให้จำเลยเตรียมข้อเท็จจริงทั้งสองสำนวนพร้อมพยานหลักฐานมาแถลงเพื่อให้โจทก์ทั้งสองยอมรับข้ออ้างหรือข้อเถียง จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีแรงงาน พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 บัญญัติเรื่องการจดประเด็นข้อพิพาทและการดำเนินกระบวนพิจารณาเพื่อให้เป็นไปโดยประหยัด สะดวก และรวดเร็ว ไว้เป็นการเฉพาะแล้วกรณีจึงไม่อาจนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับแก่การจดประเด็นข้อพิพาทและการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลแรงงานได้พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 39บัญญัติว่า “ในกรณีมีประเด็นที่ยังไม่อาจตกลงกันหรือไม่อาจประนีประนอมยอมความกันให้ศาลแรงงานจดประเด็นข้อพิพาท และบันทึกคำแถลงของโจทก์กับคำให้การของจำเลยอ่านให้คู่ความฟังและให้ลงลายมือชื่อไว้ โดยจะระบุให้คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนำพยานมาสืบก่อนหรือหลังก็ได้ แล้วให้ศาลแรงงานกำหนดวันสืบพยานไปทันที” นอกจากนี้มาตรา 50 วรรคสอง บัญญัติว่า “ก่อนที่ศาลแรงงานอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่ง ถ้าศาลแรงงานเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลแรงงานอาจทำการพิจารณาต่อไปอีกได้” เห็นได้ว่าบทบัญญัติดังกล่าวให้อำนาจศาลแรงงานดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการไกล่เกลี่ยให้คู่ความได้ตกลงกัน หรือประนีประนอมยอมความกัน หรือให้คู่ความนำพยานมาสืบ หรือมีอำนาจเรียกพยานหลักฐานมาสืบได้เองตามที่ศาลแรงงานเห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมได้เสมอก่อนที่ศาลแรงงานอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งให้คู่ความฟัง ทั้งนี้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 29, 38, 42, 43 และมาตรา 45 การที่ศาลแรงงานสอบข้อเท็จจริงก็เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่ง ซึ่งศาลแรงงานย่อมมีอำนาจกระทำได้ตามบทกฎหมายดังกล่าว ดังนั้นหลังจากศาลแรงงานกลางจดประเด็นข้อพิพาทแล้วต่อมาศาลแรงงานกลางสั่งให้โจทก์ทั้งสองและจำเลยเตรียมข้อเท็จจริงทั้งสองสำนวนและพยานหลักฐานที่จะใช้สนับสนุนข้ออ้างข้อเถียงให้พร้อมเพื่อให้คู่ความอีกฝ่ายยอมรับศาลแรงงานกลางจึงมีอำนาจกระทำได้โดยชอบ มิใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซึ่งไม่มีกฎหมายรับรองให้กระทำดังที่จำเลยอ้างแต่อย่างใด
จำเลยอุทธรณ์เป็นประการที่สองว่า จำเลยมีพยานหลักฐานแสดงต่อศาลแรงงานกลางเกี่ยวกับข้อเท็จจริง ทั้งจำเลยยังมีพยานบุคคลเป็นพยานอีก 1 ปากพยานจำเลยย่อมมีน้ำหนักน่าเชื่อถือว่าพยานโจทก์ทั้งสองที่ศาลแรงงานกลางรับฟังคำกล่าวอ้างของโจทก์ทั้งสองว่าโจทก์ทั้งสองมิได้ทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง หรือจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย เป็นการรับฟังข้อเท็จจริงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามที่ศาลแรงงานกลางฟังเป็นยุติว่าโจทก์ทั้งสองแต่งตั้งสาวจำหน่ายก็ดี สาวจำหน่ายแต่ละคนที่โจทก์ทั้งสองแต่งตั้งได้สั่งซื้อสินค้าและมีผลยอดหนี้ค้างชำระแก่จำเลยก็ดี โจทก์ทั้งสองมิได้ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง หรือจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย ต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยอุทธรณ์เป็นประการที่สามว่า ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าการกระทำของโจทก์ทั้งสองประมาทเลินเล่อ ทั้งมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรในการปฏิบัติหน้าที่ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย เป็นการกระทำอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต การกระทำของโจทก์ทั้งสองจึงครบองค์ประกอบฐานละเมิดแล้ว โจทก์ทั้งสองต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามฟ้องแย้งให้แก่จำเลยนั้นเห็นว่าตามคำให้การและฟ้องแย้งจำเลยอ้างว่าโจทก์ทั้งสองทุจริตโดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่แอบอ้างบุคคลหลายคนแต่งตั้งเป็นสมาชิกของจำเลยแล้วสั่งซื้อสินค้าไปจากจำเลยเป็นจำนวนมาก เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระจำเลยเรียกให้บุคคลที่โจทก์ทั้งสองแอบอ้างชำระหนี้ ปรากฏว่าสมาชิกบางรายไม่มีตัวตน บางรายไม่เคยสมัครเป็นสมาชิกและไม่เคยสั่งซื้อสินค้าจากจำเลย การกระทำของโจทก์ทั้งสองเป็นการกระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างหรือจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย เห็นได้ว่าจำเลยฟ้องแย้งให้โจทก์ทั้งสองรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเนื่องจากโจทก์ทั้งสองทุจริตต่อหน้าที่ในการแต่งตั้งสมาชิก ต่อมาสมาชิกดังกล่าวสั่งซื้อสินค้าจากจำเลย และค้างชำระค่าสินค้า เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ศาลแรงงานกลางฟังเป็นยุติว่า การที่สาวจำหน่ายทั้งสิบคนที่โจทก์ทั้งสองแต่งตั้งได้สั่งซื้อสินค้าจากจำเลยและมียอดหนี้ค้างชำระนั้น โจทก์ทั้งสองไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง โจทก์ทั้งสองมิได้ทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง หรือจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในการแต่งตั้งสาวจำหน่ายที่ชื่อกรุณาภรณ์ และนายโรจนะ โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2จดบันทึกข้อมูลตามคำบอกเล่าของบุคคลดังกล่าวลงในทะเบียนแต่งตั้งโดยโจทก์ที่ 1และโจทก์ที่ 2 มิได้ตรวจสอบหลักฐานทะเบียนบ้าน บัตรประจำตัวประชาชน เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ ทั้งมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร เป็นการกระทำอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตตามที่จำเลยอ้างก็เป็นคนละกรณีกับสาวจำหน่ายที่ชื่อกรุณาภรณ์และนายโรจนะสั่งซื้อสินค้าจากจำเลยและค้างชำระค่าสินค้าดังกล่าว โจทก์ทั้งสองไม่ต้องรับผิดตามฟ้องแย้งแก่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์เป็นประการสุดท้ายว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาโดยจำเลยแจ้งความให้ดำเนินคดีอาญาแก่โจทก์ทั้งสองว่าทุจริตต่อหน้าที่ คดีของโจทก์ที่ 1 อยู่ในระหว่างการพิจารณาของพนักงานอัยการ ส่วนคดีของโจทก์ที่ 2 อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดนครปฐม การพิพากษาคดีนี้ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว เมื่อศาลแรงงานกลางพิพากษาคดีนี้ไปโดยไม่ถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์ทั้งสองผู้เป็นลูกจ้างฟ้องจำเลยผู้เป็นนายจ้างเรียกค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ค่าจ้างค้างจ่าย และเงินทดรองจ่าย แม้จำเลยแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ทั้งสองว่าทุจริตต่อหน้าที่และจำเลยฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากการที่สาวจำหน่ายที่โจทก์ทั้งสองแต่งตั้งได้สั่งซื้อสินค้าจากจำเลยและมียอดหนี้ค้างชำระจากโจทก์ทั้งสองก็เป็นเพียงการฟ้องเรียกค่าสินค้าที่ค้างชำระเท่านั้น ย่อมไม่มีผลให้คดีนี้กลายเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานอกจากนี้คดีอาญาซึ่งจำเลยแจ้งความให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ที่ 1 ก็อยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานอัยการ ส่วนโจทก์ที่ 2 อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดนครปฐม การที่ศาลแรงงานกลางพิจารณาและพิพากษาคดีนี้โดยไม่รอฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวจึงชอบแล้ว ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share