คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 490/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์อยู่จำนวนหนึ่งและต่อมาได้จดทะเบียนเลิกห้างหุ้นส่วนและชำระบัญชีโดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ชำระบัญชี ระหว่างการชำระบัญชี จำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์ยอมรับใช้เงินที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ดังกล่าวโดยจำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวได้ลงนามเป็นผู้รับอาวัลในตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น ดังนี้ แม้ห้างหุ้นส่วนจำเลยที่1 จะจดทะเบียนเลิกกันแล้วก็ยังไม่สิ้นสภาพเป็นนิติบุคคลเพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1249ให้ถือว่ายังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชีเมื่อจำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้โจทก์ในระหว่างการชำระบัญชีโดยจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 1 และเป็นผู้ชำระบัญชีด้วยเป็นผู้ทำแทนและเป็นผู้รับอาวัลในฐานะส่วนตัวด้วยจำเลยทั้งสองจึงต้องผูกพันรับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1001 บัญญัติเรื่องอายุความฟ้องร้องผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินไว้ห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลาสามปีนับแต่วันตั๋วนั้นๆ ถึงกำหนดใช้เงินโดยไม่ได้ระบุถึงอายุความฟ้องร้องผู้รับอาวัล แต่มาตรา940 วรรคแรก บัญญัติว่า ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกันดังนี้ จึงต้องใช้มาตรา 1001 บังคับแก่จำเลยที่ 2 ผู้รับอาวัลด้วยจะนำมาตรา 1002 ซึ่งใช้บังคับแก่ผู้สั่งจ่ายและผู้สลักหลังตั๋วเงินมาใช้บังคับไม่ได้ เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องยังไม่พ้นเวลา 3 ปี นับแต่วันตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดคดีของโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำตั๋วสัญญาใช้เงินแก่โจทก์ จำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวเป็นผู้รับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น ครั้นถึงกำหนดจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ โจทก์ทวงถามก็ผัดผ่อนเรื่อยมา รวมทั้งดอกเบี้ยเป็นเงินทั้งสิ้น 739,768.17บาท โจทก์ทวงให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้แต่ก็เพิกเฉย ขณะนี้จำเลยที่ 1 ปิดทำการอยู่ในระหว่างการชำระบัญชี ไม่มีทรัพย์สิน มีแต่หนี้ จำเลยที่ 2 ยังเป็นหนี้บุคคลอื่นอีกหลายรายรวม 30 ล้านบาท จำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวก่อนฟ้อง โจทก์ทวงให้จำเลยชำระหนี้แล้วไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง ระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วันจำเลยไม่ชำระ จึงขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483

จำเลยให้การว่า จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเลิกกิจการค้าแล้ว จึงสิ้นสภาพนิติบุคคล โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยที่ 1 เมื่อเลิกกิจการค้าเกิน 2 ปี คดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 ตั๋วสัญญาใช้เงินจำเลยทำขึ้นภายหลังจำเลยที่ 1 เลิกกิจการค้าแล้ว ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากฟังว่าชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะคดีขาดอายุความแล้วตามมาตรา 1002 โจทก์เคยฟ้องคดีล้มละลายจำเลยมาครั้งหนึ่งแล้วถอนฟ้องไปนำคดีมาฟ้องใหม่เป็นฟ้องซ้ำ จำเลยยังสามารถชำระหนี้ให้โจทก์ได้ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง คดีไม่ขาดอายุความ มีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ (จำเลย) ทั้งสองเด็ดขาด

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล มีจำเลยที่ 2เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์อยู่จำนวนหนึ่ง เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม2508 จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนเลิกห้างหุ้นส่วนและชำระบัญชี โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ชำระบัญชี ระหว่างชำระบัญชีจำเลยที่ 1 ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์ยอมรับใช้เงินที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ดังกล่าว โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวได้ลงนามเป็นผู้รับอาวัลในตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น ดังนี้ แม้ห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 1จะจดทะเบียนเลิกกันแล้วก็ยังไม่สิ้นสภาพนิติบุคคล เพราะประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1249 ให้ถือว่ายังคงตั้งอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชี เมื่อจำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้โจทก์ในระหว่างการชำระบัญชี โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ 1 และเป็นผู้ชำระบัญชีด้วยเป็นผู้ทำแทน และเป็นผู้รับอาวัลในฐานะส่วนตัวด้วย จำเลยทั้งสองจึงต้องผูกพันรับผิดตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1001 บัญญัติเรื่องอายุความฟ้องร้องจำเลยที่ 1 ผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินไว้ โดยห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นเวลาสามปีนับแต่วันตั๋วนั้น ๆ ถึงกำหนดใช้เงิน ไม่ได้ระบุถึงอายุความฟ้องร้องจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นผู้รับอาวัลไว้ประการใด แต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 940 วรรคแรก บัญญัติไว้ว่า ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกัน จึงเห็นว่าต้องใช้มาตรา 1001 ดังกล่าวบังคับแก่จำเลยที่ 2ผู้รับอาวัลด้วยจะนำมาตรา 1002 ซึ่งใช้บังคับแก่ผู้สั่งจ่ายและผู้สลักหลังตั๋วเงินมาใช้บังคับไม่ได้ เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องยังไม่พ้นเวลา 3 ปี นับแต่วันตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนด คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

พิพากษายืน

Share