แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำว่า บุคคลวิกลจริต ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 29 นั้น มิได้หมายเฉพาะถึงบุคคลผู้มีจิตผิดปกติหรือตามที่เข้าใจกันทั่วๆ ไปว่าเป็นบ้า เท่านั้นไม่ แต่หมายรวมถึงบุคคลที่มีกิริยาอาการผิดปกติเพราะสติวิปลาศ คือ ขาดความรำลึก ขาดความรู้สึก และขาดความรู้สึกผิดชอบด้วยเพราะบุคคลดังกล่าวนี้ไม่สามารถประกอบกิจการงานของตน หรือประกอบกิจส่วนตัวของตนได้ทีเดียว
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเนื้องอกในสมอง ต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลามีอาการพูดไม่ได้ หูไม่ได้ยินตาทั้งสองข้างมองไม่เห็น มีอาการอย่างคนไม่มีสติสัมปชัญญะใดๆ ไร้ความสามารถที่จะดำเนินกิจการทุกสิ่งทุกอย่าง ถือว่าเป็นบุคคลวิกลจริตตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 29 แล้ว
ย่อยาว
ผู้ร้องทั้งสี่ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งว่านางสงวนมารดาผู้ร้องเป็นคนไร้ความสามารถ และอยู่ในความอนุบาลของผู้ร้อง เพราะนางสงวนป่วยเป็นโรคเนื้องอกในสมองไม่สามารถพูดหรือประกอบกิจการงานใด ๆ ได้ ไม่มีสติสัมปชัญญะ ถึงขั้นวิกลจริตแล้ว
ศาลชั้นต้นเห็นว่า นางสงวนยังมิใช่บุคคลวิกลจริตตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 29 ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า คำว่า บุคคลวิกลจริตตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 29 นั้น มิได้หมายเฉพาะถึงบุคคลผู้มีจิตผิดปกติหรือตามที่เข้าใจกันทั่ว ๆ ไปว่าเป็นบ้าเที่ยวอาละวาด นั่งซึม หรือพูดเพ้อเจ้อโดยไม่มีเหตุผลเท่านั้นไม่ แต่หมายรวมถึงบุคคลที่มีกิริยาอาการผิดปกติเพราะสติวิปลาส คือขาดความรำลึก ขาดความรู้สึก และขาดความรับผิดชอบด้วย เพราะบุคคลดังกล่าวนี้ไม่สามารถประกอบกิจการงานของตน หรือประกอบกิจส่วนตัวของตนได้ทีเดียว
ปรากฏตามข้อเท็จจริงว่านางสงวนป่วยเป็นโรคเนื้องอกในสมองต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดเวลา มีอาการพูดไม่ได้ หูไม่ได้ยิน ตาทั้งสองข้างมองไม่เห็น มีอาการอย่างคนไม่มีสติสัมปชัญญะใด ๆ ไร้ความสามารถที่จะดำเนินกิจการทุกสิ่งทุกอย่าง จึงถือได้ว่าเป็นบุคคลวิกลจริตตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 29 แล้ว แต่โดยที่ศาลชั้นต้นยังมิได้ไต่สวนถึงประเด็นว่าผู้ร้องทั้งสี่สมควรที่จะเป็นผู้อนุบาลหรือไม่ จึงให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนแล้วมีคำสั่งต่อไป