แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การทำสัญญาลดเงินกู้แต่ยังสงวนสิทธิตามสัญญาเดิมอยู่นั้น ไม่เรียกว่าแปลงหนี้ใหม่การวินิจฉัยเอกสารใบเสร็จรับเงินว่ารายใดเป็นการชำระดอกเบี้ยและรายใดเป็นการชำ ระต้นเงิน เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ไม่ใช่การตีความเอกสาร
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้เงินไป ๖๕๐ บาท และค้างชำระดอกเบี้ยมาจนถึงวันฟ้อง ๓๑๙ บาท ๓๐ สตางค์ จำเลยรับว่าได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป ๖๕๐ บาทจริง แต่ได้ทำสัญญาแปลงหนี้รายนี้ใหม่ และชำระหนี้ตามสัญญาแปลงหนี้ใหม่นี้เสร็จสิ้นไปแล้วศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าตามเอกสารใบเสร็จรับเงินแสดงว่าจำเลย ได้ผ่อนใช้ต้นเงินให้โจทก์บ้างแล้ว คงค้างอีก ๓๕๒ บาท และเมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้ออกใบเสร็จรับต้นเงินให้แก่จำเลยแล้ว ย่อมต้องสันนิษฐานว่าโจทก์ได้รับดอกเบี้ยไปเสร็จสิ้นแล้ว จึงพิพากษาให้จำเลยใช้ต้นเงิน ๓๕๒ บาทให้โจทก์กับดอกเบี้ยนับแต่วันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๔๘๐ เป็นต้นไป เงินตามใบรับรวม ๓ ฉะบับ ๑๒๒ บาทซึ่งไม่ได้ระบุว่าเป็นการผ่อนต้นเงินนั้นให้ถือเป็นการชำระดอกเบี้ยจึงให้หักออกก่อน
จำเลยอุทธรณ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าเอกสารซึ่งจำเลยอ้างว่าเป็นการแปลงหนี้นั้น เป็นแต่เพียงการผ่อนผันลดหนี้ให้แก่จำเลย แต่ยังทรงอำนาจไว้ตามสัญญากู้เดิม และใบเสร็จรับเงินรวมจำนวน ๑๒๒ บาทนั้น ศาลล่างทั้ง ๒ ก็ได้วินิจฉัยต้องกันแล้วว่า เป็นการชำระดอกเบี้ย ฏีกาจำเลยข้อนี้จึงต้องห้ามเพราะเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงพิพากษายืน