แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องอ้างว่าโจทก์ทั้งสี่มีสัญชาติไทย ถูกจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติสัญชาติและพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชนเพิ่มชื่อโจทก์ทั้งสี่ลงในทะเบียนบ้านญวนอพยพ และปฏิเสธไม่รับคำร้องขอของโจทก์ที่ 2ที่ขอมีบัตรประจำตัวประชาชน ดังนี้มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ตามกฎหมายแพ่ง โจทก์ทั้งสี่จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย โจทก์ที่ 1 เป็นบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทยโดยมารดาเป็นคนต่างด้าว แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย ในขณะที่เกิดมารดาเป็นผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง โจทก์ที่ 1 จึงย่อมเป็นผู้ถูกถอนสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ข้อ 1 โจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เกิดในราชอาณาจักรไทย ส่วนมารดาคือโจทก์ที่ 1 ได้สัญชาติไทยโดยการเกิด โจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4จึงได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508มาตรา 7(3) เมื่อขณะที่โจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เกิดนั้นโจทก์ที่ 1 ยังมีสัญชาติไทย มิใช่คนต่างด้าว โจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จึงหาถูกเพิกถอนสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 337 ข้อ 1 ไม่.
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสี่ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นคนสัญชาติไทย จำเลยที่ 1เป็นหัวหน้าสำนักงานกิจการญวนอพยพจังหวัดอุบลราชธานี จำเลยที่ 2เป็นนายอำเภอเมืองอุบลราชธานี จำเลยที่ 3 เป็นผู้อำนวยการกองบัตรประจำตัวประชาชน กรมการปกครอง และจำเลยที่ 4 เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จำเลยที่ 1 อ้างโจทก์ทั้งสี่เป็นคนต่างด้าว และได้เพิ่มชื่อโจทก์ทั้งสี่ลงในทะเบียนบ้านญวนอพยพจำเลยที่ 2 อ้างว่าโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นคนญวนอพยพ และไม่ยอมออกบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่โจทก์ที่ 2 การกระทำของจำเลยที่ 1และที่ 2 เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายและเป็นการกระทำตามหน้าที่ราชการ จำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงต้องร่วมรับผิดด้วย ขอให้พิพากษาว่าโจทก์ทั้งสี่เป็นคนสัญชาติไทยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ร่วมกรับออกบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่โจทก์ที่ 2
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า จำเลยทั้งสี่ไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์จำเลยที่ 1 ไม่เคยเพิ่มชื่อโจทก์ทั้งสี่ลงในทะเบียนบ้านคนญวนอพยพจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่เคยปฏิเสธการขอมีบัตรประจำตัวประชาชนของโจทก์ที่ 2 ถึงแม้ว่าโจทก์ที่ 1 จะเกิดในราชอาณาจักรไทยแต่บิดามารดาของโจทก์ที่ 1 เป็นคนญวนอพยพ โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4จึงต้องถูกถอนสัญชาติตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337ลงวันที่ 10 ธันวาคม 2515 จำเลยที่ 4 เป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติสัญชาติ ไม่มีอำนาจที่จะปฏิเสธคำร้องขอมีบัตรประจำตัวประชาชน การได้สัญชาติของโจทก์ทั้งสี่ย่อมเป็นไปตามกฎหมายไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ขอให้ยกฟ้อง
ในระหว่างการพิจารณา จำเลยที่ 3 ถึงแก่กรรม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 3
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นคนสัญชาติไทย ให้จำเลยที่ 2 และที่ 4 ร่วมกันออกบัตรประจำตัวประชาชนแก่โจทก์ที่ 2
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า โจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4มีสัญชาติไทยให้ยกฟ้องของโจทก์ที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่โจทก์ทั้งสี่อ้างว่าโจทก์ทั้งสี่มีสัญชาติไทย จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติสัญชาติและพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชนได้เพิ่มชื่อโจทก์ทั้งสี่ลงในทะเบียนบ้านคนญวนอพยพ และปฏิเสธไม่รับคำร้องของโจทก์ที่ 2 ที่ขอมีบัตรประจำตัวประชาชนจึงมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิของโจทก์ทั้งสี่ตามกฎหมายแพ่ง โจทก์ทั้งสี่ชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลได้ โจทก์ทั้งสี่จึงมีอำนาจฟ้อง
ปัญหาว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นคนสัญชาติไทยหรือไม่นั้น สำหรับโจทก์ที่ 1 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ดจทก์ที่ 1 เป็นบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทย โดยมารดาเป็นคนต่างด้าว แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย และในขณะที่เกิดมารดาเป็นผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองซึ่งตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ข้อ 1 บัญญัติว่า”ให้ถอนสัญชาติไทยของบรรดาบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทย โดยบิดาเป็นคนต่างด้าวหรือมารดาเป็นคนต่างด้าว แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย และในขณะที่เกิดบิดาหรือมารดานั้นเป็น
(1) ผู้ที่ได้รับการผ่อนผันให้พักอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย
(2) ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าอยู่ในราชอาณาจักรไทยเพียงชั่วคราว หรือ
(3) ผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง
ทั้งนี้ เว้นแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาเห็นสมควรและสั่งเฉพาะรายเป็นประการอื่น” โจทก์ที่ 1 จึงถูกถอนสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว
สำหรับโจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าเกินใราชอาณาจักรไทยเมื่อปี พ.ศ. 2512 พ.ศ. 2513 และ พ.ศ. 2514ตามลำดับ บิดามารดาคือนายสมคิด สัญชาติไทย กับโจทก์ที่ 1 ขณะที่โจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เกิดนั้น มารดาคือโจทก์ที่ 1 ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508มาตรา 7(3) ดังนั้น โจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จึงได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามกฎหมายดังกล่าวด้วย ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337ประกาศใช้เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2515 คือหลังจากที่โจทก์ที่ 2ที่ 3 และที่ 4 เกิดแล้ว ดังนั้นขณะที่โจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4เกิดนั้น โจทก์ที่ 1 ยังมิได้ถูกถอนสัญชาติตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าว โจทก์ที่ 1 ยังคงมีสัญชาติไทยอยู่ มิใช่คนต่างด้าวโจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จึงหาถูกเพิกถอนสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าวไม่ แม้ภายหลังโจทก์ที่ 1 จะได้ถูกถอนสัญชาติไทยก็ตาม ก็ไม่ทำให้โจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 กลายเป็นบุตรที่เกิดจากมารดาเป็นคนต่างด้าว เพราะขณะที่โจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เกิด โจทก์ที่ 1 ได้สัญชาติไทยโดยถูกต้อง
พิพากษายืน.