คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3383/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยส่งตัวโจทก์กลับกรมการค้าภายในอันเป็นหน่วยงานเดิมของโจทก์เพราะสภาบริหารคณะปฏิวัติลงมติให้ข้าราชการและลูกจ้างกรมการค้าภายในที่ยืมตัวไปปฏิบัติงานในองค์การจำเลยกลับหน่วยเดิม ตำแหน่งเดิมที่โจทก์เคยทำในองค์การจำเลยก็ยังคงมีอยู่ดังนี้ มิใช่กรณีโจทก์ต้องออกจากงานเพราะยุบเลิก หรือตัดทอนงาน
จำเลยให้โจทก์ออกจากงานก่อนที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงาน ฯ ใช้บังคับ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยกรณีเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์รับราชการกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์จำเลยได้ยืมตัวโจทก์ไปทำงานในองค์การจำเลย ต่อมาจำเลยส่งตัวโจทก์กลับหน่วยงานเดิมโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมและเงินบำเหน็จ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินดังกล่าวและดอกเบี้ยแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จและโจทก์ประมาทเลินเล่อทำให้จำเลยเสียหาย จำเลยจึงมีอำนาจสั่งให้โจทก์ออกจากงานได้ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยและดอกเบี้ยแก่โจทก์คำขออื่นให้ยก

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จและเงินทำขวัญลูกจ้าง พ.ศ. 2502 ข้อ 6 กำหนดว่า “ลูกจ้างผู้ใดต้องออกจากงานเพราะ ยุบเลิก หรือตัดทอนงาน ให้ได้รับบำเหน็จเท่ากับเงินค่าจ้างในเดือนสุดท้ายสามเดือน” เห็นว่ากรณีที่จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์พ้นจากหน้าที่ทางองค์การคลังสินค้าจำเลยนั้นเนื่องจากสภาบริหารคณะปฏิวัติได้ลงมติให้ข้าราชการและลูกจ้างกรมการค้าภายในที่ยืมตัวไปปฏิบัติงานทางองค์การคลังสินค้ากลับหน่วยงานเดิม ตำแหน่งงานในองค์การคลังสินค้าที่โจทก์เคยทำคือตำแหน่งหัวหน้ากองข้าวสาร ฝ่ายกิจการข้าว ยังคงมีอยู่ จะเห็นได้ว่าเมื่อโจทก์กลับคืนหน่วยงานเดิมแล้วโจทก์ลาออกจากราชการ จำเลยก็บรรจุและแต่งตั้งโจทก์ดำรงตำแหน่งเดิม ดังนั้น การที่จำเลยส่งตัวโจทก์กลับหน่วยงานเดิมจึงมิใช่กรณีโจทก์ต้องออกจากงานเพราะยุบ เลิก หรือตัดทอนงาน ตามระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จและเงินทำขวัญลูกจ้าง พ.ศ. 2502 ข้อ 6 โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จตามระเบียบดังกล่าว

โจทก์อุทธรณ์ต่อไปว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยตามฟ้องพิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำฟ้องโจทก์ที่เกี่ยวกับค่าเสียหายที่ศาลแรงงานกลางรับไว้พิจารณาพิพากษานั้น คือค่าเสียหายกรณีที่โจทก์อ้างว่าจำเลยเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 49 มิใช่กรณีเกี่ยวกับการละเมิด จำเลยให้โจทก์ออกจากงานเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน2518 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ ใช้บังคับ ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยกรณีเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 49

พิพากษายืน

Share